ผู้เขียน | มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด มูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ |
---|
ดุลยภาพดุลพินิจ : ธุรกิจเพื่อสังคมและผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม
ในบทความครั้งที่แล้ว ในเรื่องที่มีชื่อว่าจากจิตสาธารณะสู่ธุรกิจเพื่อสังคมได้พูดถึงองค์กรสาธารณประโยชน์ในประเทศตะวันตกที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมมาหล่อเลี้ยงกิจกรรมเพื่อสังคมและเพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น คราวนี้เรามาดูองค์กรสาธารณประโยชน์ที่สำคัญของไทย ที่มีอายุครบรอบ 50 ปี คือ “สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน” ที่ได้สร้างคุณูปการแก่ประเทศมหาศาล
จากทุนประเดิมจำนวน 2.5 แสนเหรียญสหรัฐ ที่คุณมีชัย วีระไวทยะ ได้รับจากสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (International Planned Parenthood Association: IPPF) เพื่อจัดตั้งเป็นสำนักงานบริการวางแผนครอบครัวชุมชนในปี 2517 ซึ่งต่อมาได้จดทะเบียนเป็นสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนในปี 2520 โดยคุณมีชัยยังคงดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคม มาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งพนักงาน 200 คน และมีงบประมาณพัฒนาประมาณปีละ 150 ล้านบาท
สมาคมมีทีมที่เข้มแข็งนำโดย คุณมีชัย วีระไวทยะ และคุณธวัชชัย ไตรทองอยู่ ซึ่งได้ทำงานพัฒนาชุมชนอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอนตั้งแต่ ลดการเกิด ลดการตาย ลดความยากจน ลดความเห็นแก่ตัว และลดความเขลา แต่ในที่นี้จะเน้นโมเดลธุรกิจที่สมาคมสร้างขึ้น
กิจกรรมธุรกิจเพื่อสังคมในเครือข่ายของสมาคม มี 2 ประเภท คือ
หนึ่ง ประเภทเท่าทุน (Optimization of Profit) ที่ทำธุรกิจกับผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งไม่เน้นกำไรหรือมีกำไรเพียงเล็กน้อย โดยซื้อของจากคนจนหรือผู้ด้อยโอกาสในราคาที่สูงกว่าตลาด และขายให้คนจนกลุ่มอื่นที่ต่ำกว่าราคาในตลาดโดยทั่วไป บริษัทจะไม่มีกำไรแต่ก็ไม่ขาดทุน ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้คือ วัสดุ และธุรกิจก่อสร้าง
สอง ประเภทแสวงหากำไร (Maximization of Profit) กิจกรรมที่ทำมาค้าขายกับคนมีเงิน แล้วนำส่วนหนึ่งของกำไรไปขยายกิจการในประเภทที่หนึ่ง (Optimization of Profit) บริษัทแบบนี้จะเป็นบริษัทที่บริการด้านตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ในโรงงานและสถาบันการศึกษา ส่วนธุรกิจด้าน Maximization of Profit ที่เด่นคือ ร้านอาหาร Cabbages and Condoms โรงแรม ร้านมินิมาร์ต ร้านอาหาร และงานรับจัดเลี้ยง เป็นต้น
สมาคมได้แยกธุรกิจเพื่อสังคมเป็นเอกเทศจากสมาคม โดยจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด แต่ยังคงทำงานสนับสนุนกันอยู่ เริ่มต้นจากคลินิกที่พัฒนพงศ์ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนเป็นบริษัทพัฒนาประชากรจำกัดซึ่งเป็นแกนนำธุรกิจเพื่อสังคมที่สำคัญ โดยมีการแยกกิจกรรมพัฒนาสังคมกับธุรกิจเพื่อสังคมออกจากกัน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสมาคม มิได้นำเงินที่บริจาคไปทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทพัฒนาประชากรมีข้อกำหนดในหนังสือบริคณห์สนธิ ว่าบริษัทจะต้องเอากำไรทั้งหมดที่หักภาษีแล้วใช้ใน 3 ด้าน คือ 1.เงินสำรอง 2.การขยายธุรกิจ และ 3.งานสาธารณประโยชน์
ความร่วมมือกับภาคธุรกิจในระยะเริ่มแรก : โครงการ TBIRD (Thai Business Initiatives in Rural Development) ชื่อภาษาไทย คือ โครงการริเริ่มของธุรกิจไทยเพื่อพัฒนาชนบท เป็นโครงการที่คุณมีชัยพัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์พัฒนาชนบทมา 25 ปี ขณะไปเป็นนักวิจัยแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด โดยโครงการมีวัตถุประสงค์ 5 ประการ คือ 1) ถ่ายทอดความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจให้แก่คนในชนบท 2) ยกระดับรายได้ของชาวบ้าน 3) ลดการย้ายถิ่นฐาน 4) ลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และ 5) แสวงหาช่องทางให้ภาคธุรกิจเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาชนบท ซึ่งโครงการนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิฟอร์ดเป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2533-2536 (มีชัย วีระไวทยะ และ สนธิ เตชานันท์, 2561, น.367) โครงการนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นโครงการความรับผิดชอบทางสังคม (CSR) ของบริษัทเอกชนรุ่นแรกๆ โดยสมาคม ได้ชักชวนบริษัทให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนชนบท โดย 2 บริษัทที่เข้าร่วม คือ บริษัท สวีดิชมอเตอร์ (วอลโว่ ไทยแลนด์) และบริษัทบางกอกกลาส ซึ่งเริ่มด้วยการปรับปรุงสาธารณูปโภค โดยบริษัทให้ทุนและชุมชนออกแรง ส่วนสมาคมทำหน้าที่ประสานและบริหารจัดการในพื้นที่ หลังจากนั้นจึงได้เริ่มพัฒนาอาชีพและรายได้ โดยฝึกให้ชาวบ้านผลิตสินค้าด้วยเครื่องจักรง่ายๆ ต่อมาบริษัทบาจาได้ตามไปพัฒนาอาชีพจนกลายเป็นโรงงานผลิตรองเท้าเล็กๆ ของหมู่บ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ งานของ TBIRD ได้ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2544 มีผู้สนับสนุนเป็นบริษัทไทย ธนาคาร และบริษัทข้ามชาติถึง 135 ราย
ใน 50 ปีที่ผ่านมา สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนได้จัดตั้งบริษัทที่เป็นธุรกิจเพื่อสังคมกว่า 30 แห่ง ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่ล้มเลิกกิจการไปแต่มีไม่เกินร้อยละ 10 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 คุณมีชัยตั้งความหวังไว้ว่า สมาคมจะเป็นองค์กรที่สามารถพึ่งตนเองได้โดยสมบูรณ์จากรายได้ของบริษัทในเครือ ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดบริษัทในเครือสามารถรวบรวมและสนับสนุนรายได้ให้แก่สมาคม เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาได้ถึงร้อยละ 70
ผลลัพธ์ของสมาคม ได้แสดงออกมาเป็นที่ประจักษ์ชัด รวมถึงนวัตกรรมหลายอย่างได้กลายมาเป็นต้นแบบจิตสาธารณะของทั้งในและต่างประเทศ เช่น รูปแบบของการใช้ระบบอาสาสมัครวางแผนครอบครัวในชุมชน ทำให้ชุมชนกลายเป็นต้นแบบที่กระทรวงสาธารณสุขนำไปใช้พัฒนาให้กลายเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ในปัจจุบัน
สมาคม ได้รับรางวัลทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติมากมาย ทั้งในด้านสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น ในปี 2550 มูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ หรือมูลนิธิเกตส์ ได้มอบรางวัล Gates Award for Global Health พร้อมเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ ให้แก่สมาคม ต่อมาในปี 2555 สมาคมได้รับการยกย่องจาก The Global Journal ให้เป็นลำดับที่ 39 จาก 100 ในฐานะองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ดีเด่นของโลก และล่าสุดในปี 2566 สมาคมได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัลผู้นำอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนครั้งที่ 5 ประจำปี 2564
ปัจจุบัน สมาคมยังคงยืนหยัดพัฒนาชนบทไทยและคนไทยรุ่นใหม่ให้เป็นผู้ประกอบการที่มีจิตสาธารณะต่อไป โดยได้จัดตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา ที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์