ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | วิชัย เทียนถาวร |
ชีวิตคนเราเป็นเหมือนเหรียญ 2 ด้านเสมอ มีขาวมีดำ มีสูงมีต่ำ มีอ้วนมีผอม มีดีมีเลว มีรวยมีจน
ถามว่ามีแบบกลางๆ หรือไม่? ตอบว่า “มี” เหมือนกัน แล้วแต่ว่าเราจะเลือก “คิด” หรือเลือกไปเส้นทางใด ถามว่าแล้วมันจะเป็นอย่างไร? เกิดอะไรขึ้น? ตอบได้ว่าแล้วแต่ “วาสนา”
โดยธรรมชาติแล้วการมี “หลักแหล่ง” ที่ดีอันเป็นเสมือนหนึ่งว่า “ชัยภูมิ” หรือ “ฮวงจุ้ย” ที่ดี เป็นโอกาสของการสร้างอนาคตที่ดีรุ่งโรจน์ของคนได้เป็นอย่างดี
หลัก : ได้แก่ ความรู้ ความฉลาด ความชำนาญ ความจดจำจากการเรียน
แหล่ง : ได้แก่ ความดี นิสัยเยือกเย็น กว้างขวาง หนักแน่น มั่นคง
“คนรวย” เขาแปลความได้ว่าคือ ผู้ที่ขยันทำมาหากินแต่ขี้เกียจใช้เงิน และรู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสคือ การฉวยโอกาสในขณะที่คนอื่นไม่กล้าทำไม่กล้าเสี่ยง หนทางชีวิตบางช่วงบางตอนอาจหม่นมัวหรือมืดมิด หากก้าวด้วยความมีสติทุกก้าว ย่อมเห็นแสงสว่างของทางออกเสมอหากกล้าที่จะเสี่ยง
เขาว่า “การฟังคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี” แต่การเชื่อตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อสร้างจุดเปลี่ยน…”ภาระให้เป็นพลัง” และไม่ว่าเราจะเลือกทำอะไร สิ่งนั้นต้องไม่เป็นภัยกับตัวเองและสังคม
การเปลี่ยน (Change) เพื่อให้ดีขึ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งต้องอาศัยจังหวะชีวิตและโอกาสสร้างให้หรือกำหนดให้เรา ทุกอย่างตั้งต้นที่ห้าสิบ-ห้าสิบ หากสร้างชีวิตด้วยมีสติ วิริยะ อุตสาหะ ไม่ย่อท้อ ต่อสู้ คิดเสมอว่า “ปัญหา” คือ “ปัญญา” ขอให้ตั้งสติให้ดี และต้องตัดสินใจอย่าง “มั่นใจ” ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการสร้างพลังใจของเรา แต่กาลเวลาไม่ใช่ว่าคนเราจะดวงดีเสมอไป ถ้าพลาดไปแล้ว ก็ขอให้คิดว่า…”เป็นที่หนึ่งไม่ได้”…เป็นที่สองก็ยังดีนะ
การที่คนเราจะ “รวย” อย่างถาวร : คุณสมบัติที่จะรักษาความสำเร็จไว้ให้นานๆ คือ 1.ต้องเป็นคนดี 2.ต้องเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย 3.เข้าหาผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ…ดูๆ ไปแล้วไม่ง่ายก็ไม่ยาก แต่…ไม่รู้คนส่วนใหญ่จึงทำกันไม่ค่อยได้…แปลก! แต่จริง
กว่าจะมาเป็นเรา : ในโลกกลมๆ ใบนี้มีสิ่งที่ทำได้ยากกว่า ถ้าหวังสิ่งได้จาก “เขา” ก็ควรนึกถึงการกระทำของตนเองก่อน การติเตียนคนซึ่งๆ หน้า แม้เขาไม่พอใจก็ไม่เจ็บแค้น การนินทาคนอื่นลับหลัง แม้เขาไม่ได้ยินแต่ก็แค้นเคืองหนัก
ให้เพื่อให้ : โปรดอย่าดูดายเมื่อมี “โอกาส” ช่วยเหลือคนอื่น การช่วยคนยากเหมือนฝนตกในฤดูหนาว “การให้” นั้นไม่มีใครบังคับ เรามีเหลือแต่เขาขาดแคลนก็ควรจุนเจือเขาบ้าง เขาขอร้องสิ่งใดถ้าเราพอจะให้เขาได้ ก็อย่าระแวงหรือรังเกียจ ส่วนที่คนคิดว่า “ให้ก็เอา ไม่ให้ก็เอา” นั้น ถึงแม้จะได้สิ่งนั้นมาแล้วก็มี “บาป” มี “ภัย” ต้องตามมา
ชีวิตคนถูกกำหนดไว้แล้วว่า : จะได้ “ครอบครอง” หรือสูญเสียสิ่งใด เมื่อใด มากน้อยเท่าใด สิ่งที่เขาให้ ถึงแม้จะล่าช้า มากน้อยเท่าใด ก็มีความดีมาก ส่วนสิ่งที่เขาไม่ได้แย่งชิงมา ถึงแม้จะได้มาไว้ก็ไม่ทำให้เกิดความสุขความเจริญใดๆ เลย
“ผู้ที่มีความสามารถ”…คือ ผู้ที่ทำอะไรสำเร็จโดยตนเอง คนบางคนเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำอะไรสักอย่าง ก็ดูเป็นงานใหญ่วุ่นวายไปหมด ประมาณว่า…”ทำเรื่องเล็กๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่” เป็นอาการของคนทำอะไรไม่เป็น…หัดฝึกตนให้เข้าใจ “คำสั่ง” และทำงานให้สำเร็จโดยเร็ว อย่างนี้จะทำงานในวงการธุรกิจ หรือราชการก็มีทางก้าวหน้าแล้วในตัวเรานั้น “ความคิด” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความคิดดีทำให้เรามี “ค่า” สูงกว่าคนอื่น และเป็นคนที่ “อดทน” ต่องานทุกชนิด จะเป็นผู้ที่มีความ “สามารถ” อย่างแท้จริง
จงสำนึกความผิดพลาดในอดีตของตนบ่อยๆ และระวังอย่าให้เกิดความผิดพลาดอีกในอนาคต ความรอบคอบเป็นเสมือน “เครื่องรางของขลัง” ที่ควรมีไว้ประจำตัว การหวังผลที่ยังไม่สำเร็จใดๆ ก็ไม่ดีเท่ากับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่
เรื่องความรวย : มี 2 อย่างคือ “รวยอย่างจน” หรือ “จนอย่างรวย” ถ้าแค่อยากรวย ไม่ต้องขวนขวายเรียนให้ถึงปริญญาตรี โท เอก เพียงขอให้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียวเท่านั้น ก็รวยถมไปมีตัวอย่างให้เห็นทั่วๆ ไป เช่น แคะขนมครกอย่างเดียวก็รวยได้
ทรัพย์และโชคลาภ : อยู่ที่หนังสือที่ใครๆ ขุดได้ขุดเอา ไม่มีใครหวงห้ามเหมือนคนอื่น ฉะนั้นอย่าละเลยโอกาสการ “อ่านหนังสือ” เลย การเรียนนอกเวลา ถึงแม้จะได้เลื่อนขั้น เลื่อนเงินเดือนไม่ได้โดยตรง แต่มันก็ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ดังนั้น ข้อเตือนใจคือ… “อย่าหยุดการเรียนรู้ตราบเท่าที่ยังอยากรู้อยู่” ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม ควรอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้อาชีพของตนให้เข้าใจลึกซึ้ง และนำมาใช้ประโยชน์ในการหารายได้ ดังนั้นขอให้…เก่งจริงๆ เถิด รวยทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะทำอะไร…”ความซื่อสัตย์สุจริต” เป็นวิธีการยอดเยี่ยมที่สุด
คนจน : ใช่ว่าจะ “จน” ตลอดไป หรือตลอดชีวิต วัฏจักรชีวิตเกิดได้เสมอ คือ จนแล้วมี มีแล้วก็จน เลื่อนปรับสลับเปลี่ยนกันไปแต่ “สองมือคนจน” กับ “ความทนไม่จำกัด” คุณสมบัติ 2 อย่างนี้เป็น “ยาวิเศษ” หรือ “คาถาที่ขลังยิ่ง” มากเกินพอสำหรับการทำทุกอย่าง งานต่างๆ ลงมือทำใหม่ๆ ก็หวั่นใจ ทำๆ ไปก็ผูกพัน มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไม่ต้องเหนื่อย เพียงแต่เหนื่อยน้อยหรือเหนื่อยมากเท่านั้น คนเราเกิดมา…”ฝันให้ไกล…ไปให้ถึง” ถ้าเราไม่อยากปล่อยมือจาก “อดีต” เราจะเอามือที่ไหนไขว่คว้า “อนาคต” และการนอนตื่นสายเป็นความเสื่อมผ่อนส่งจริง หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ท่านสอนว่า “พูด กินน้อย นอนน้อย ทำให้มาก” และแค่ “ฝัน” ก็ดีแล้ว…ย่อมสำเร็จได้
แม้ว่า “เงิน” ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เงินก็เป็นสิ่งที่คนอยากได้มากที่สุด สิ่งนี้ตอกย้ำความเป็น “คน” ไม่ได้อยู่ที่ “รวยหรือจน” อย่างเดียว คนหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ จึงพกเงินบาทแทนสมาร์ทการ์ด เขาเรียก “หนุ่มกระเป๋าหนัก” อย่างไรก็ชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสองเท่านั้น ปัจจัยแวดล้อมเป็นตัวแปรที่สำคัญ “เมื่อความฝันไม่เป็นได้ดั่งใจ” อย่ามัววิ่งไล่จับความฝันจนหาทางกลับไม่ถูกก็แล้วกัน ขอให้ตระหนักเสมอว่าพร้อมเปลี่ยนแปลง (Change) เสมอ คือคิดผิดก็คิดใหม่ ทำใหม่ได้นั่นคือ ยิ้มของนักสู้…สู้ๆ…อย่าย่อท้อด้วย “สติ” ที่มั่นคง
ความโดดเด่นไม่จำเป็นต้องโดดเดี่ยว : นายที่ฉลาดจะเลือกเลขาที่ฉลาดมากกว่าตนเสมอหรืออย่างน้อยก็ต้องฉลาดเท่ากับตน และเลขาที่ฉลาดจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาฉลาดน้อยกว่านาย แต่ใครจะฉลาดกว่าใครจะรู้ได้เฉพาะ 2 คนเท่านั้น เขาว่า ความรวยหรือความจน อย่าดูถูกงานที่ต่ำต้อย คลื่นลมมักเข้าข้างคนเดินเรือที่มีความสามารถเสมอ นอตที่หลวมถ้าขันได้ก็ขันต่อไป ถ้าขันไม่ได้ก็เปลี่ยน (Change)…
และเช่นเดียวกัน เบื้องหน้าคือรอยยิ้ม เบื้องหลังคือความวางใจ ความรักชอบเป็นเหตุให้คนทำตามง่ายมากที่สุด ให้โอกาสและให้กำลังใจต่อกันแล้วเราก็อยู่ร่วมกันได้
คนรวยหรือคนจน ต่างก็มีสังคม “มนุษย์” ด้วยกัน คนเราโตแล้ว ไม่คบเพื่อนฝูงก็ไม่ได้ แต่เพื่อนดีมีน้อย เพื่อนพลอยเพื่อนชั่วนั้นมีมาก และมีจำนวนไม่จำกัด…และโลกนี้ไม่มีคนเลวเต็มร้อย ถ้านำมา ลด แลก แจก แถม จะเอาไปทำปุ๋ย หรือทำพันธุ์ก็ได้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรจริงๆ สักอย่าง เขาว่าคนที่นำมา…”ลดราคา” มีคุณสมบัติดังนี้
1.ไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เอาใจใส่ลูกเมีย 2.ไม่รู้จักรับผิดชอบ ชอบสอพลอ 3.เป็นนักเที่ยว นักเล่นการพนัน 4.หลงเมียคนที่สอง เกลียดชังเมียคนที่หนึ่ง 5.หลงเมียคนที่หนึ่ง เกลียดชังเมียคนที่สอง 6.เห็นเงินลืมเพื่อน 7.ชอบเบ่งต่อหน้าธารกำนัล ลับหลังทำเป็นคนน่าสงสาร 8.ชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย 9.เห็นแก่เงินไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม 10.ถือตนเป็นใหญ่ ไม่ฟังเสียงใครแนะนำ 11.ไม่เรียนรู้ แต่ชอบตั้งตัวเป็นครู 12.เห็นเงินเป็นใหญ่ ไม่ฟังเสียงใครแนะนำ 13.ชอบทำตัวเขื่อง ดูหมิ่นคนที่ต้อยต่ำกว่า 14.เห็นแก่เงิน แต่ไม่รักเกียรติ 15.ชอบติเตียนผู้อื่น ไม่เคยติเตียนตนเอง 16.ทำตัวเหลวไหล ไม่รู้จักรับผิดชอบ 17.ปั้นน้ำเป็นตัว ทำลายชื่อเสียงผู้อื่น 18.ไม่พูดด้วยความจริงใจ ปากอย่างหนึ่งใจอย่างหนึ่ง 19.อวดดีดูหมิ่นธรรมะ 20.ลืมบุญคุณคน ไร้ศีลธรรม ไม่มีสัจจะ 21.ปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่หวังก้าวหน้า 22.ปากกล้า ชอบเถียง ดันทุรัง 23.ไม่มีความรู้ แต่ชอบคุยอวดความรู้ และ 24.ชอบช่วงชิงอำนาจ และร่วมกันค้าของเถื่อน ฯลฯ
อนึ่งจะเห็นได้ในสังคมว่า “เสน่ห์” ของความชั่ว มักทำใจคนอ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อ…สิ่งที่คอยกีดกันมิให้หลงทำในสิ่งที่ไม่สมควรคือ “ความละอาย” หากความละอายมีอำนาจเหนือใจก็จะทำให้คน…”อายตัวเอง” ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำได้ ก็หาอะไรสักอย่างมาเตือนใจให้ละอาย เช่น “พระ” หรือ “ผี” ก็ดีทั้งนั้น…เพื่อให้เรา “หยุด” หรือ “ยุติ” การกระทำ มิฉะนั้น…สวรรค์ที่วาดไว้อาจกลายเป็น “ภาพลวงตา” ได้
แต่ในทาง “โลก” สู่ทาง “ธรรม” เราพบว่ามี “กฎแห่งแรงดึงดูด” ในทางพุทธศาสนา : พระพุทธองค์ทรงสอนพวกเราว่า : 1.ไม่ว่าเราได้พบเจอใคร เขาเหล่านั้นคือคนที่เราจะต้องได้พบเจอ “ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราด้วยเหตุบังเอิญ” 2.ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวใดๆ เข้ามาในชีวิตเรา…”มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิด” ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย เราต้องยอมรับมัน…”ไม่มีเรื่องใดที่บังเอิญ” เพราะเราเคยทำแบบนี้กับเขามา เมื่ออดีตชาติปางก่อน 3.เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน เวลาใด นั่นคือเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว “ไม่มีอะไรที่ควรเกิด” เพราะมันต้องเกิด ต่อให้คุณเตรียมตัวหรือไม่เตรียมตัว เมื่อปัจจัยพร้อมสิ่งเหล่านั้นก็ต้องเกิดขึ้น 4.เมื่อปัจจัยจบ ก็ต้องยอมรับว่าจบ อย่าเหนี่ยวรั้ง อย่าอาลัยอาวรณ์ ขอให้รู้ว่า เมื่อสุดมือสอยก็ต้องปล่อยมันไป และกล้าเผชิญในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมีเรื่องดีๆ กำลังรอคุณอยู่ข้างหน้าเสมอ 5.”ทำความดี” ในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยไม่ต้องสนใจว่า เราเคยทำกรรมอะไรไว้ในอดีตมาบ้าง เพราะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เราทำอะไรกับ “กรรมเก่า” ไม่ได้แล้ว…แต่ผู้มี “ปัญญา” เท่านั้นจะรู้ว่า กรรมใหม่ดีๆ มีอะไรยังไม่ได้ทำ
และควรทำทันที…
สรุปคือ…”หมั่นทำกรรมดี ในปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด”…
ถามว่าท้ายสุดของชีวิต “คน” คืออะไร? อะไรคือความสำเร็จ : เมื่อใครคนหนึ่งผ่านมาอายุย่างเข้าวัยกลางคน เขามีสุขภาพแข็งแรง มีคนรักที่เข้าใจซึ่งกันและกัน (ครอบครัว) มีลูกที่กตัญญูและเชื่อฟัง มีงานที่เขาชอบ ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่ต้องร่ำรวย ยากดีมีจน เป็นตัวของตัวเอง “เป็นอิสระ” โดยไม่ต้องเป็น “ตัวแทน” ของใคร นี่คือ “ความสำเร็จในชีวิต” ก็น่าจะพอแล้วใช่ไหม? แล้วอะไรคือ “ความสุข” ของคุณ
“ความสุข” คือ การใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด คุณค่าของคุณอยู่ที่ไหน? คุณไม่ได้เป็นคนที่สำคัญที่สุด มีค่าที่สุด ของหน่วยงานบริษัท หากคุณเจ็บป่วยพิการ? แต่สำหรับ “พ่อแม่” คุณ และคนในครอบครัว สามี ภรรยา และลูกๆ ของคุณ ท้องฟ้าของพวกเขากำลังจะถล่มลงมา เพราะ “คุณ” คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา! สุดท้ายอะไรคือวาสนาของคุณ? ไม่ร่ำรวยแต่ไม่ขัดสน ที่บ้านไม่มีคนป่วย พ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีญาติที่ถูกขังอยู่ในคุก ไม่มีศัตรูอาฆาต ข้างกายไม่มีคนเลว ยามทำผิดพลาดมีกัลยาณมิตรคอยตักเตือน ทำการใดมีผู้อุปถัมภ์ มีผู้รู้เป็นมิตรสหาย นี่แหละ “คุณคือคนที่มีวาสนาดีที่สุด”
คนเห็นคน เป็นคน นั่นแหละคน
คนเห็นคน ไม่ใช่คน ใช่คนไม่
กำเนิดคน ต้องเป็นคน ทุกคนไป
จนหรือมี ผู้ดีไพร่ ไม่พ้น “คน”…นะครับ