ผู้เขียน | พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก |
---|
ตํานานความซื่อสัตย์ของสุนัขสีน้ำตาลทอง สายพันธ์ุอาคิตะ อินุ (Akita Inu) ชื่อฮาชิโกะ (Hachiko) หนึ่งในบรรดาสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลก เป็นความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่นมากว่า 90 ปี ญี่ปุ่นนำความดีงามของสุนัขตัวนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2530 ดังไปครึ่งโลก ฝรั่งนำไปดัดแปลงสร้างขึ้นใหม่ชื่อเรื่อง Hachi : a Dog’s Tale เลยดังไปทั้งโลก เรียกน้ำตา สร้างความตื้นตัน เปี่ยมด้วยปีติและสะเทือนใจเกินบรรยาย
ชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งกำหนดให้ 8 มีนาคม “เป็นวันสุนัขผู้ซื่อสัตย์ฮาชิโกะ” พร้อมทั้งสร้างอนุสาวรีย์ให้ยอดสุนัขตัวนี้แบบงามสง่าในกรุงโตเกียว เป็นสัญลักษณ์ของความภักดี-ซื่อตรง
ภาพเก่า…เล่าตำนานตอนนี้ขอแนะนำสุนัขชื่อ “ฮาชิโกะ” ครับ
ฮาชิโกะ เกิดเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2466 ในฟาร์มที่เมืองโอดาเตะ ประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้น ศ.เอซะบุโร อุเอโนะ แห่งคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว) นำมันมาเลี้ยง อุ้มชูดูแลแบบเป็นสมาชิกในครอบครัว ผูกพันกันแนบแน่น (ฮาชิ แปลว่า 8 โกะ แปลว่า รัก/ประทับใจ)
ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ สุนัขแสนดีตัวนี้จัดระเบียบในตัวเอง ทุกวันในตอนเช้าฮาชิโกะจะเดินตามเจ้านายไปที่สถานีรถไฟชิบุยะ (Shibuya) กรุงโตเกียว ฮาชิโกะจะเฝ้ามองตาม ศ.อุเอโนะ ซื้อตั๋วรถไฟจนกระทั่งเจ้านายของมันเดินลับตาเข้าไปในสถานี มันจะคอยอยู่ตรงนั้นจนกระทั่ง 15.00 น. ของทุกวัน เพื่อรอรับเจ้านายกลับจากสอนหนังสือ ฝนตก แดดออก หิมะตก ไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของฮาชิโกะ
ชาวญี่ปุ่นในชุมชนนั้น ชื่นชมและคุ้นเคยกับคู่หูแสนน่ารัก “สุนัขฮาชิโกะ-ศ.อุเอโนะ” เป็นอย่างดี รถไฟญี่ปุ่นตรงเวลาเสมอ ทุกเช้าต้องเดินตามมาส่ง แล้วนั่งคอยจนเวลา 15.00 น. เมื่อเจ้านายลงมาจากรถไฟ จะต้องมีเจ้าฮาชิโกะมารอรับด้วยความเริงร่าทั้งหมาทั้งคน แล้วพากันเดินกลับบ้าน เป็นเช่นนี้ทุกวัน การรอคอยของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ จุดเดิม เวลาเดิม ไม่เคยผิดนัดเลยแม้แต่วันเดียว
ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์ที่มีต่อสุนัข แตกต่างกันแบบสุดขั้วราวฟ้ากับเหว ชาวตะวันตก (ฝรั่ง) ใช้สุนัขทำงานแบบเพื่อน เดินทาง ล่าสัตว์ เสมือนเพื่อนตาย
ชาวเวียดนาม เกาหลี จีน ฆ่าสุนัขมาทำเป็นอาหาร และแสวงหาสุนัขมากินแบบเป็นเรื่องเป็นราว เน้นการเฉลิมฉลองในเทศกาล ปีใหม่ ตรุษจีน ในกรุงฮานอยมีร้านขายเนื้อสุนัขที่นำมาห้อยในตู้กระจกให้ลูกค้าเลือก เหมือนร้านขายข้าวมันไก่เมืองไทยที่นำไก่มาแขวนในตู้โชว์หน้าร้าน
ชาวเวียดนามบริโภคเนื้อสุนัขตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับเมืองหลวง สุนัขที่วิ่งไปวิ่งมาแถวบริเวณบ้านเพื่อความเพลิดเพลินและเป็นเพื่อนเล่นในบางโอกาส ก็พร้อมจะกลายเป็นอาหารจานเด็ดบนโต๊ะชาวเวียดนาม หากถึงเวลาที่เหมาะสม
ชาวเกาหลีก็ไม่น้อยหน้า เชื่อกันว่ากินเนื้อหมาเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ส่วนชาวจีนไต้หวันมุ่งเน้นไปที่เนื้อสุนัขดำ เชื่อในพลังทางเพศ
21 พฤษภาคม พ.ศ.2468 วันที่แสนอาดูรสำหรับ “คู่หู” ศ.อุเอโนะ เกิดเส้นโลหิตในสมองแตกขณะที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
15.00 น. วันนั้น ฮาชิโกะผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งไม่มีวันที่จะล่วงรู้ชะตากรรมของเจ้านายยังคงนั่งรอ ณ จุดนัดพบ เวลาเดิม ที่เดิม คอยอยู่ตั้งแต่บ่าย 3 โมงจนค่ำมืด เจ้าฮาชิโกะ
ก็ยังคงจ้องมองไปที่รถไฟทุกขบวน จ้องมองผู้โดยสารที่ลงมาจากรถไฟคนแล้วคนเล่า สัตว์เลี้ยงแสนประเสริฐตัวนี้รอคอยเจ้านายแบบมีความหวังตลอดเวลา
ฮาชิโกะเอ๋ย จะทำอย่างไรดี เจ้าจึงจะเข้าใจได้ว่า เจ้านายของเธอนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นเจ้านายอีกแล้ว
จนกระทั่งดึกสงัดคืนวันนั้น ฮาชิโกะจึงยอมเดินกลับบ้านด้วยอาการเศร้าซึม เพราะเป็นครั้งแรกที่เจ้านายผิดนัด ฮาชิโกะเข้าบ้านนอน ภรรยาของ ศ.อุเอะโนะ ที่สูญเสียสามีพยายามที่จะสื่อสาร ถ่ายทอดความจริงให้กับสุนัขคู่หูของสามี แต่ไม่เป็นผล
เช้าวันรุ่งขึ้น ภรรยาจึงตัดสินใจปิดประตูขังเจ้าฮาชิโกะไว้ในบ้าน แต่พลังแห่งความภักดีของสุนัขที่แสนดี ฮาชิโกะจึงหนีออกจากบ้านไปได้ มุ่งหน้าไปนั่งคอยเจ้านาย ณ สถานีรถไฟชิบูยา จุดเดิม เวลาเดิม
ฮาชิโกะยังคงออกไปรอเจ้านายทุกวัน ในที่สุดภรรยาของศาสตราจารย์จึงนำฮาชิโกะไปฝากกับญาติให้ช่วยเลี้ยงดู แต่เจ้าฮาชิโกะก็หนีออกจากบ้านญาติไปนั่งคอยที่สถานีรถไฟอีก และในที่สุดอดีตคนทำสวนของศาสตราจารย์ที่มีบ้านอยู่ใกล้สถานีรถไฟ จึงขอฮาชิโกะไปเลี้ยงเองและยอมให้ฮาชิโกะผู้ซื่อสัตย์ไปนั่งคอยทุกวัน
เรื่องของ ศ.อุเอโนะ ที่จากโลกนี้ไปแบบไม่มีวันกลับ เป็นที่รับรู้กันทั่วในชุมชน แต่ที่ทุกคนสะเทือนใจเสียใจมากกว่านั้น คือการมองเห็นเจ้าฮาชิโกะ มานั่งคอย คอย และคอยทุกวัน เพื่อนบ้านของ ศ.อุเอโนะ เล่าขานเรื่องสุนัขผู้ซื่อสัตย์ไปสู่สังคมทั่วประเทศญี่ปุ่น โดยลูกศิษย์ของ ศ.อุเอโนะ ชื่อไซโตะ (Saito) นำเรื่องของฮาชิโกะไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุน
ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวอาทิตย์อุทัยทุกคนที่ผ่านมาพบเจ้าสุนัขตัวนี้นั่งคอยเจ้านายที่สถานีรถไฟชิบุยะล้วนหดหู่ใจ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร เพราะเจ้าฮาชิโกะตั้งใจประพฤติเช่นนี้ทุกวัน
9 ปี 9 เดือน 15 วัน ของการรอคอยด้วยหัวใจที่แสนซื่อสัตย์
8 มีนาคม พ.ศ.2478 ชาวเมืองต้องเสียใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าฮาชิโกะ นอนหมดลมหายใจ ณ จุดที่มันเคยนั่งรอเจ้านายทุกวัน ฮาชิโกะเสียชีวิตตอนอายุได้ 11 ปี มันทำหน้าที่ของมันจนถึงนาทีสุดท้าย
ชาวญี่ปุ่นขอนำหนังและขนของฮาชิโกะที่แสนภักดีไปสตั๊ฟเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ในกรุงโตเกียว ส่วนร่างกาย-กระดูกนำไปฌาปนกิจและฝังไว้ติดกับหลุมศพของ ศ.อุเอโนะ ผู้เป็นเจ้านาย
ชาวญี่ปุ่นที่ติดตามเรื่องของฮาชิโกะ ตื้นตันใจกับความซื่อสัตย์ที่มีอยู่จริงบนโลกนี้ จึงร่วมกันบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์ของฮาชิโกะขึ้นบริเวณที่มันเคยนั่งคอยทุกวัน รูปหล่อทำด้วยโลหะทองสัมฤทธิ์
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นต้องการใช้โลหะทุกชิ้นเพื่อนำไปผลิตอาวุธ รูปหล่อของฮาชิโกะจึงถูกถอดถอนออกจากแท่นและนำไปหลอมเป็นอาวุธ และเมื่อสงครามยุติลง ในปี พ.ศ.2491 พระราชินีของญี่ปุ่นได้ทรงขอให้ลูกชายของช่างหล่อรูปปั้นครั้งแรกมาหล่ออนุสาวรีย์ฮาชิโกะขึ้นใหม่เป็นครั้งที่ 2 และนำไปตั้งที่เดิม ใกล้สถานีรถไฟชิบุยะ ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์คแห่งหนึ่งในเมืองที่คนอยากมาชมและเป็นจุดนัดพบ
ผู้เขียนค้นคว้าต่อไปถึงประวัติของสุนัขฮาชิโกะ พระเอกในตำนานของชาวญี่ปุ่น พบว่าเป็นสุนัขสายพันธ์ุ อาคิตะ (Akita) มีถิ่นกำเนิดที่เกาะฮอนชู ของญี่ปุ่น ในสมัยก่อนเป็นสุนัขที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุนัขอารักขาท่านโชกุน ใช้ล่าสัตว์ ฉลาด อดทน กล้าหาญ เป็นมิตร สง่างาม ถือว่าเป็นสุนัขขนาดกลาง ข้อมูลบางสำนักระบุว่าเป็นสุนัขประจำชาติของญี่ปุ่น ทหาร ตำรวจ คัดเลือกสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้งานเป็นหลัก
สุนัขพันธุ์นี้จะผลัดขนปีละ 2 ครั้ง รักความสะอาด ชอบออกกำลังกายเพื่อรักษาสมดุลของพลังงานในตัวเองและเพื่อคลายความเครียด พวกมันไม่ชอบอากาศร้อน
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นนำสุนัขพันธุ์นี้ไปใช้ในราชการสงครามเกือบหมด คนในประเทศญี่ปุ่นอาหารการกินขาดแคลน สุนัขพันธุ์นี้ร่อยหรอลงไปมาก
สัตวแพทย์ของอเมริกาทราบข้อดีของสุนัขสายพันธุ์นี้ จึงนำไปเพาะพันธุ์ใหม่เรียกว่า อเมริกันอาคิตะ ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก
ความดีงาม ความซื่อสัตย์ของสุนัขฮาชิโกะ ถูกนำไปเผยแพร่ ถูกนำไปสอนให้แก่เยาวชนญี่ปุ่น ต่อมาชาวเมืองโอดะเตะ บ้านเกิดของสุนัขตัวนี้ ขอสร้างอนุสาวรีย์ของฮาชิโกะขึ้นมาอีกแห่งด้วยความภาคภูมิใจ และยังมีรูปหล่อของฮาชิโกะอีกในหลายเมืองของญี่ปุ่นเพื่อเชิดชูความดีของสุนัขตัวนี้
ในปี พ.ศ.2558 หลังจาก ศ.อุเอโนะ เสียชีวิตมาแล้ว 90 ปี คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ที่ ศ.อุเอโนะ เคยสอนหนังสือ ร่วมกันสร้างรูปหล่อของเจ้าฮาชิโกะที่กำลังกอดกับเจ้านาย เสมือนให้ฮาชิโกะสมหวังดังที่รอคอย ณ บริเวณคณะเกษตรศาสตร์ นำความปลาบปลื้มแก่ผู้พบเห็นและเป็นการปลูกฝังความรักความเมตตาในจิตใจของมนุษย์ นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2537 บริษัท Nippon Cultural Broadcasting ได้ค้นพบเสียงเห่าจริงของฮาชิโกะที่เคยอัดไว้ในอดีต จึงนำเสียงมาเปิดทางวิทยุให้ชาวญี่ปุ่นนับล้านได้ฟังอย่างชื่นใจ
พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา พนักงานธนาคารโตเกียวได้ค้นพบภาพถ่ายของฮาชิโกะที่ตนเองเคยถ่ายเก็บไว้ตอนเดินผ่านเจ้าฮาชิโกะตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 จึงนำภาพดังกล่าวมาตีพิมพ์ในสื่อเพื่อเผยแพร่หน้าตาของสุดยอดสุนัขซื่อสัตย์
เพื่อนแท้คือสุนัข รูปหล่อของฮาชิโกะคือสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ และภักดีแบบไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทุกวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ผู้รักสุนัขทั้งหลายจะมารวมตัวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ฮาชิโกะติดกับสถานีรถไฟ
ชิบุยะ กรุงโตเกียว เพื่อรำลึกถึงความดีของสุนัขแสนประเสริฐตัวนี้
คนที่เคยเลี้ยงสุนัขจะเข้าใจ ซาบซึ้งความรู้สึกในความผูกพันสัมผัสระหว่างคนกับสุนัขแบบไม่ต้องอธิบาย คนจำนวนมากหันมาคบหา เลี้ยงดูสุนัข สงเคราะห์สุนัขที่เร่ร่อนหิวโซเพื่อความสุขใจ คบเป็นเพื่อนแก้เหงา สร้างมิตรภาพที่ซื่อสัตย์ยาวนาน ซึ่งหาได้ยากยิ่งจากมนุษย์ด้วยกันเอง ลองคบหากับหมาดูบ้างนะครับ
Dog is man’s Best Friend.
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนและภาพจาก Hachikodog.com และ https://en.wikipedia.org/wiki/Hachi:_A_Dog’s_Tale
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก