
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
วันลอยกระทง 2567 – ลอยกระทงถูกสร้างใหม่มีกำเนิดในกรุงเทพฯ (ไม่ใช่สุโขทัย) ให้เป็นนาฏกรรมแห่งรัฐ เพื่อศาสนา-การเมืองเรื่องจักรพรรดิราชแบบไทย ที่เชื่อว่าสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นทางการเมืองการปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน
ลอยกระทงมีรากเหง้าต้นตอจากลอยเครื่องเซ่นผีเพื่อขอขมาธรรมชาติ คือน้ำและดินที่เลี้ยงสรรพสิ่งให้มีชีวิตสืบเนื่องทุกวันนี้ โดยสรุปมีพัฒนาการอย่างย่อดังต่อไปนี้
[1.] ลอยเครื่องเซ่น ประมาณ 5,000-3,000 ปีมาแล้ว [2.] ลอยบายศรี ประมาณ 1,500 ปีมาแล้ว [3.] ลอยโคม ประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว [4.] ลอยกระทง ประมาณ 200 ปีมาแล้ว
[หมายเหตุ (1.) วัฒนธรรมเป็นเรื่องของพัฒนาการ ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นมาแล้วค่อยเป็นค่อยไป จึงไม่มีกำหนดตายตัวว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไร? ทำได้แค่ “ประมาณ” และอาจไม่ถูกก็ได้ (2.) ช่วงเวลาหนึ่งๆ ไม่แยกกันเด็ดขาด แต่มีเหลื่อมล้ำทับซ้อนกันเสมอ เช่น สมัยรัตนโกสินทร์มีลอยกระทงในชุมชนเมือง แต่ชุมชนหมู่บ้านห่างไกลมีลอยบายศรีตามมีตามเกิด หรือลอยเครื่องเซ่นตามยถากรรม เป็นต้น]
ลอยกระทง
[1.] กำเนิดในกรุงเทพฯ เกือบ 200 ปีมาแล้ว เมื่อแผ่นดิน ร.3 (เสวยราชย์ พ.ศ. 2367-2394) ไม่ใช่สุโขทัยตามที่ถูกครอบงำให้เชื่ออย่างจำนนต่ออำนาจ
[2.] เดือน 12 (จันทรคติ ตรงกับตุลาคม-พฤศจิกายน) ถูกกำหนดเป็นช่วงเวลาลอยกระทง ซึ่งมีกลอนเพลงยาวบอกว่า “เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง” (นิราศเดือน ของเสมียนมี กวีในแผ่นดิน ร.3)
ก่อนหน้านี้พิธีลอยเครื่องเซ่น (ยังไม่มีลอยกระทง) เริ่มตั้งแต่เดือน 11 (จันทรคติ ตรงกับกันยายน-ตุลาคม) ถึงเดือน 12
[3.] ศาสนาพุทธ อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทที่ “นัมมทานที” ถูกสร้างความหมายใหม่แทนความหมายเก่าทางศาสนาผี ลอยเครื่องเซ่นเพื่อขอขมา
[4.] กระทงทรงดอกบัวทำด้วยใบตอง ที่ต้องเน้นกระทง “ทรงดอกบัว” และทำด้วย “ใบตอง” (1.) แสดงว่าก่อนหน้านั้นลอยกระทงแบบอื่น คือกระทงทรงบายศรี และ (2.) โดยทั่วไปในวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์ มีกระทงแบบอื่น เช่น กระทงบายศรี, กระทงนา เป็นต้น
กระทงบายศรี หมายถึง ภาชนะทำจากกาบกล้วยสำหรับใส่เครื่องเซ่นผี บางทีเรียก “กระบานผี” กร่อนจาก “กระบานผีเสีย” หรือ “เสียกระบาน” หมายถึงกระบานใส่เครื่องเซ่นผี แล้วเอาไปทิ้งไว้ที่สาธารณะ (คำว่า “เสีย” ตรงกับ “ทิ้ง” เช่น ของเสีย คือ ของทิ้ง)
ทำไมต้องเป็นลอยกระทง?
[1.] ลอยเครื่องเซ่นขอขมาฯ เป็นประเพณีของคนทั่วประเทศ ตั้งแต่ชนชั้นนำ ถึงชนสามัญ หรือสามัญชน สมัยอยุธยา เรียก ลอยโคม (แบบจีน)
[2.] แสดงพระองค์ทางศาสนา-การเมือง ว่าเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ให้เป็นที่รับรู้กว้างขวางทั่วประเทศ ทั้งในกลุ่มชนชั้นนำซึ่งเป็น “ผู้ดี” และกลุ่มชนสามัญซึ่งเป็น “ไพร่บ้านพลเมือง”
นาฏกรรมแห่งรัฐ
ลอยกระทงเป็นนาฏกรรมแห่งรัฐที่ถูกสร้างใหม่เพื่อผดุงอำนาจชนชั้นนำกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ ด้วยการฟื้นฟูและสร้างสรรค์ประเพณีพิธีกรรมทางน้ำเพื่อแสดงพระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีอานุภาพดุจพระจักรพรรดิราชแบบไทย
พบหลักฐานและร่องรอยสอดคล้องกัน ในหนังสือ 2 เล่ม คือ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) และ เรื่องนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ แต่งสมัยรัตนโกสินทร์ แผ่นดิน ร.3
จักรพรรดิราชแบบไทย
ลอยกระทงเป็นนาฏกรรมแห่งรัฐ เพื่อศาสนา-การเมืองเรื่องจักรพรรดิราชแบบไทย สนองอำนาจทางการปกครอง (ส่วนได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไร? เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
[1.] จักรพรรดิราชเป็นกษัตริย์ในอุดมคติ ที่ไม่มีจริงในโลก จักรพรรดิราช หมายถึง ราชาเหนือราชาทั้งหลายอันเป็นคติสากล มีในเกือบทุกวัฒนธรรมในโลก
[2.] ศาสนาพุทธมีอุดมคติเรื่องจักรพรรดิราช พระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์เป็นจักรพรรดิราช แสดงให้ประจักษ์ด้วยพระพุทธรูปสวมเครื่องทรงของกษัตริย์ เรียกพระพุทธรูปทรงเครื่อง
กษัตริย์ได้รับยกย่องเป็นจักรพรรดิราช ก็เท่ากับเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ เมื่อกราบบังคมทูลกับกษัตริย์ จึงมีสรรพนามแทนตัวเองว่า “ข้าพระพุทธเจ้า”
[3.] อุษาคเนย์รับแนวคิดจากอินเดียเรื่องจักรพรรดิราช (ราว 1,500 ปีมาแล้ว หรือ หลัง พ.ศ. 1000)
[4.] ไทยได้แนวคิดจักรพรรดิราชจากรัฐรุ่นก่อนๆ ในอุษาคเนย์ จักรพรรดิราชแบบไทยเป็นกษัตริย์ในอุดมคติที่ไม่มีจริงในโลก “จักรพรรดิราช” สถาปนาเมื่อยังมีพระชนม์ “เทวราช” สถาปนาเมื่อสวรรคตแล้ว
[5.] ร.3 แสดงพระองค์เป็นจักรพรรดิราชแบบไทย เป็นที่รับรู้ในหมู่ชนชั้นนำ และผู้ใกล้ชิดชนชั้นนำ (ส่วนประชาชนทั่วไปไม่รู้เรื่อง) ว่ามีแก้ว 5 ประการ (ล้อกับจักรพรรดิราชมีรัตนะ 7 ประการ) อยู่ในพระบรมราชปุจฉา ดังนี้
“โยมมีเบญจมพลกำลัง 5 ประการ คือ (1.) มีบ่อแก้ว (2.) มีช้างแก้ว (3.) มีนางแก้ว (4.) มีขุนพลแก้ว (5.) มีขุนคลังแก้ว
(1.) ที่โยมว่ามีบ่อแก้วนั้นคืออ้ายภู่ (อธิบายว่าพระยาราชมนตรีชื่อภู่)
(2.) ที่โยมว่ามีช้างแก้วนั้นคือพระยาช้างเผือกของปู่และบิดาและของโยมเอง (คือพระเทพกุญชร 1 พญาเศวตกุญชร 1 พระยามงคลคชพงศ์ 1)
(3.) ที่โยมว่ามีนางแก้วคือโยมมีพระราชธิดาพระองค์ 1 ทรงพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เป็นพระบวรราชปิยธิดาเสน่หาอเนกผลของพระราชบิดา
(4.) ที่โยมว่ามีขุนพลแก้วนั้นคือ พี่บดินทรเดชาแม่ทัพผู้ป้องกันพระราชอาณาเขตประเทศสยาม
(5.) ที่โยมว่ามีขุนคลังแก้วนั้นคือ เจ้าศรีทองเพ็ง” ก.ศ.ร. กุหลาบ รับรู้เรื่องนี้ เพราะใกล้ชิดชนชั้นนำ เติบโตในราชสำนัก ร.3 แล้วเติบใหญ่ในราชสำนัก ร.4-ร.5 จึงบันทึกไว้อยู่ในหนังสือ “มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ เล่ม 1” (พิมพ์ เมื่อ พ.ศ. 2449) กล่าวถึง “พระบรมราชปุจฉาปัญหาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 3 กรุงเทพฯ”
[6.] จักรพรรดิราชแบบไทยของ ร.3 “รู้บุญรู้ธรรม รู้สั่งสอนคนทั้งหลายให้รู้ในธรรม แลสั่งสอนโลกทั้งหลายให้อยู่ในธรรม” แสดงให้เห็นด้วยการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ 5 อย่าง ได้แก่ พระประธานและภาพจิตรกรรมในโบสถ์วัดนางนอง, มงกุฎยอดพระปรางค์วัดอรุณฯ, จารึกวัดโพธิ์, วัดสุทัศน์ถูกสร้างต่อจนสำเร็จ และเรื่องนางนพมาศ
เรื่องนางนพมาศ วรรณกรรมเชิง “นิยาย”
เรื่องนางนพมาศเป็นงานวรรณกรรมเชิง “นิยาย” ที่แต่งขึ้นใหม่ด้วยความเรียงหรือร้อยแก้วในแผ่นดิน ร.3 [สรุปจากบทความเรื่อง “โลกของนางนพมาศ” ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ พิมพ์ครั้งแรกใน วารสารธรรมศาสตร์ พ.ศ.2522 หน้า 2-31]
[1.] แต่งหลายคน วรรณกรรมเชิง “นิยาย” เรื่องนางนพมาศมีผู้แต่งหลายคน และพบว่าบางตอนเป็นพระราชนิพนธ์ ร.3 (นิธิ 2522)
ส่วนสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเชื่อว่าเรื่องนางนพมาศทั้งหมดเป็นพระราชนิพนธ์ ร.3 (ลายพระหัตถ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีถึงพระยาอนุมานราชธน พ.ศ.2479)
คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเห็นว่าหนังสือเรื่องนางนพมาศ แต่งสมัยสุโขทัย แท้จริงแล้วสมเด็จฯ ไม่ทรงเชื่อว่าเป็นหนังสือแต่งสมัยสุโขทัย ตั้งแต่ทรงพระนิพนธ์คำนำเมื่อพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2457
[2.] ฉากเมืองสุโขทัย แต่พรรณนากรุงเทพฯ เรื่องนางนพมาศแต่งโดยอ้างว่าเป็นเรื่องราวครั้งกรุงสุโขทัย มีเหตุการณ์เกิดที่เมืองสุโขทัย แล้วพยายามสร้างฉากหรือทำเลของเรื่องให้สมจริง
แต่กลุ่มผู้แต่งขาดข้อมูล ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเมืองสุโขทัย บางทีจะไม่สนใจความจริงด้วยซ้ำ เช่น เมืองสุโขทัยมีทิวเขาด้านตะวันตกและด้านใต้ โดยมียอดเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตของ “ผีเมือง” และเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำ, สมุนไพร, อาหาร เป็นต้น แต่ไม่กล่าวถึงในเรื่องนางนพมาศ
ดังนั้นเรื่องนางนพมาศจึงมีคำพรรณนาเป็นกรุงเทพฯ สมัยต้นรัตนโกสินทร์
[3.] ลอยกระทงในหนังสือเรื่องนาง นพมาศ เป็นประเพณีมีกำเนิดในกรุงเทพฯ ถ้อยคำพรรณนาในหนังสือนางนพมาศและนิราศเดือน สะท้อนแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลผ่านกรุงเทพฯ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มโหฬารของคนในชุมชนเมือง (เทียบกับภาพสลักที่ปราสาทบายน ดูใกล้กันมาก) แต่นอกเมืองลอยกระทงบายศรีตามมีตามเกิด
ตรงกับนิราศเดือน ของเสมียนมี (กวีแผ่นดิน ร.3) ดังนี้
๏ เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง ชนทั้งปวงเลยตามอร่ามแสง
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเป็นดวงแดง ทั้งพลุแรงตึงตังดังสะท้าน
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดอ้ายตื้อ เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่หน้าฉาน
ล้วนผู้คนล้นลามตามสะพาน อลหม่านนาวาในสาคร
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน
ขับประโคมดนตรีมีละคร อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ
บ้างก็ร้องสักรวาใส่หน้าทับ ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ
ฟังสำเนียงสตรีไม่มีเครือ เป็นใยเยื่อจับในน้ำใจชาย
[4.] สร้างความศักดิ์สิทธิ์ และปกปิดความจริง เรื่องความเป็นมาเพื่อให้คนเลื่อมใสเชื่อถือประเพณีลอยกระทงด้วยการแต่ง “นิยาย” เป็นหนังสือ “เรื่องนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์”
ต่อมารัฐราชการรวมศูนย์เผยแพร่คำอธิบายจาก “นิยาย” แต่งใหม่ผ่านระบบการศึกษาไทยแบบท่องจำตามครู “ห้ามเถียง ห้ามถาม” เรื่องนาวนพมาศลอยกระทง ว่า(1.) กำเนิดสมัยพระร่วง กรุงสุโขทัย (2.) นางนพมาศค้นคิดประดิษฐ์กระทงรูปดอกบัวถวายพระร่วง (3.) เนื่องในศาสนาพุทธ (4.) เป็นวรรณคดีสมัยสุโขทัย
ทำไมต้องเป็นสุโขทัย?
“นิยาย” เรื่องนางนพมาศใช้ฉากกรุงสุโขทัย เพราะสุโขทัยถูกสร้างให้เป็น “รัฐในอุดมคติ” สืบเนื่องถึงปัจจุบัน มีความเป็นมาโดยสรุป ดังนี้
1.“เจ้า” จากวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์จักรีมีความทรงจำและคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่าสืบเชื้อสาย “เจ้า” (บางแห่งว่าจากวงศ์สุโขทัย) มีในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์ [1.] ต้นตระกูลจากโกศาปาน [2.] โกศาปานเป็นบุตรเจ้าแม่วัดดุสิต [3.] เจ้าแม่วัดดุสิตเป็นหม่อมเจ้า พระนามเดิมว่าบัว (จากหนังสือการเมืองสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์)
2.เมืองพิษณุโลก มีสัมพันธ์พิเศษ สกุลราชวงศ์จักรีมีความสัมพันธ์พิเศษกับ ขุนนาง “เมืองเหนือ” โดยเฉพาะพิษณุโลก, เพชรบูรณ์ และอาจรวมสุโขทัย
พระบรมมหาชนก (ทองดี) อยู่ใน “ตระกูลใหญ่” ย่านป้อมเพชร (ชุมชนจีน) อยุธยาก่อนกรุงแตกพาภรรยา-บุตรธิดา หลบภัยพม่าไปอาศัยอยู่กับเจ้าพระยาพิษณุโลก ต่อมาได้เป็นส่วนหนึ่งของก๊ก (ชุมนุม) เจ้าพระยาพิษณุโลก [การเมืองไทยฯ นิธิ เอียวศรีวงศ์ พิมพ์ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2547 หน้า 412-413]
3.ชำระพงศาวดารเหนือ ร.1 โปรดให้ชำระหนังสือพงศาวดารเหนือ ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกรุงสุโขทัยและกรุงอื่นๆ
4.พระศรีศากยมุนี จากสุโขทัย ร.1 โปรดให้ชะลอพระศรีศากยมุนีจากวิหารวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย ลงไปเป็นพระประธานวิหารหลวง วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ (สมัย ร.1 ชื่อวัดมหาสุทธาวาส)
5.นางนพมาศ-ลอยกระทง ร.3 มีส่วนพระราชนิพนธ์เรื่องนางนพมาศ ใช้ฉากกรุงสุโขทัยของพระร่วง แล้วมีกำเนิดประเพณีลอยกระทง
6.จารึกพ่อขุนฯ ร.4 ทำจารึกพ่อขุนรามคำแหงกรุงสุโขทัย ถือเป็นต้นพัฒนาการ “รัฐชาติ”
7.สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย ชนชั้นนำสมัยหลังร่วมกันยกสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย แม้หลักฐานวิชาการไม่สนับสนุนอย่างนั้น แต่รัฐราชการรวมศูนย์ไม่ยอมแก้ไขให้ถูกต้อง
ลอยกระทงจากกรุงเทพฯ ขึ้นเชียงใหม่
1.ลอยกระทงจากกรุงเทพฯ ขึ้นเชียงใหม่ น่าเชื่อว่าแพร่หลายขึ้นไปเมื่อมีการตัดทางรถไฟกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ แล้วเปิดเดินรถครั้งแรกในแผ่นดิน ร.6 พ.ศ.2464
เชื่อกันว่าพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ลอยกระทงครั้งแรกในเชียงใหม่ (สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม 11)
2.กรุงเทพฯ ลอยกระทงวันเพ็ญ เดือน 12 เชียงใหม่เรียก “ยี่เป็ง” แปลว่าวันเพ็ญ เดือน 2 เนื่องจากเชียงใหม่นับเดือนเร็วกว่ากรุงเทพฯ 2 เดือน [ยี่ แปลว่า สอง, เพ็ง คือ เพ็ญ]
3.ต้นเหตุจากฤดูกาลล้านนา ได้รับฝนตกจากลมมรสุมก่อนภาคกลาง 2 เดือน ดังนั้นล้านนาทำนาก่อน, เกี่ยวข้าวก่อน, เริ่มปีใหม่เดือนอ้าย (เดือนที่ 1 ของปี) ก่อนภาคกลาง 2 เดือน
ทั่วประเทศมีลอยกระทง
1.ลอยกระทงสมัย ร.3 ไม่มีทั่วประเทศ น่าจะมีเฉพาะกรุงเทพฯ (แต่ลอยเครื่องเซ่นมีทั่วไป)
2.ลอยกระทงทยอยแพร่หลายไปทั่วประเทศ เมื่อหลัง พ.ศ.2492 จากแรงกระตุ้นของ “เพลงรำวงลอยกระทง” ของวงดนตรีสุนทราภรณ์ บรรเลงครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2492
หลังจากนั้นเพลงรำวงลอยกระทงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงคลื่นสั้น (AM) กระตุ้นให้ชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศมีลอยกระทงเหมือนกรุงเทพฯ เพื่อความทันสมัย (ไม่ตกเทรนด์)
3.รัฐบาลเผด็จการทหารผลักดันการท่องเที่ยว หลัง พ.ศ.2500 ลอยกระทงยิ่งแพร่หลายไปกับ “เพลงรำวงลอยกระทง”
4.ความหมายลอยกระทงเปลี่ยนไป
สมัยดั้งเดิม ลอยเครื่องเซ่น ศาสนาผี
สมัย ร.3 ลอยเครื่องบูชา ศาสนาพุทธ
หนุ่ม-สาว ลอยอธิษฐาน เพื่อความสัมพันธ์ทางเพศ
ลอยกระทงสุโขทัย “รัฐในอุดมคติ”
1.ลอยกระทงเมืองเก่าสุโขทัย “รัฐในอุดมคติ” เป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่ของราชการไทย มีครั้งแรก พ.ศ.2520 ต่อเนื่องจนปัจจุบัน กระทั่งทุกวันนี้จัดโดย จ.สุโขทัย (กระทรวงมหาดไทย) ร่วมกับกรมศิลปากร (กระทรวงวัฒนธรรม)
2.จุดขายสำคัญเพื่อการตลาด ใช้โฆษณาชวนเชื่อทุกปี มีข้อความรวมๆ กว้างๆ ดังนี้ “ลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ โดยนางนพมาศผู้ประดิษฐ์กระทงครั้งแรก เป็นประเพณีมีมาแต่ครั้งพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย”
3.ข้อความโฆษณาชวนเชื่อ เป็นประวัติศาสตร์สุโขทัยที่ถูกสร้างใหม่ หรือ “เพิ่งสร้าง” เพื่อการเมือง “ราชาชาตินิยม” (ขอยืมจาก อ.ธงชัย วินิจจะกูล)
4.ตรวจสอบจากข้อมูลหลักฐานที่เก็บรักษาไว้ในกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม “ลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ” ที่ว่า “เป็นประเพณีมีมาแต่ครั้งพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย” ซึ่งไม่จริง ไม่เคยพบหลักฐาน
“ลอยกระทง” ชื่อนี้ไม่เคยพบในจารึกสมัยสุโขทัย ไม่ว่าหลักไหนทั้งนั้น
“เผาเทียน เล่นไฟ” (ไม่ใช่ลอยกระทง) ข้อความนี้มีในจารึกพ่อขุนรามคำแหง แต่จารึกพ่อขุนรามคำแหงทำขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงไม่เป็นหลักฐานสมัยกรุงสุโขทัย (ตามงานวิจัยของ พิริยะ ไกรฤกษ์ อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
5.“กระทง” ที่ว่านางนพมาศประดิษฐ์ครั้งแรก ถวายพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย ไม่จริง ไม่เคยพบหลักฐาน หนังสือเรื่องนางนพมาศ เป็นวรรณกรรมเชิง “นิยาย” มีฉากสมมุติเมืองสุโขทัย แต่งในกรุงรัตนโกสินทร์ แผ่นดิน ร.3 จึงไม่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์รัฐสุโขทัย
6.“สมัยสุโขทัยไม่มีนางนพมาศ และไม่มีลอยกระทง” เป็นเนื้อหาในหนังสือคัดค้าน-ตอบโต้รัฐราชการรวมศูนย์ ตั้งแต่หลัง พ.ศ.2522 หลังจากนั้นพิมพ์หนังสือเป็นเล่มอย่างต่อเนื่อง วางจำหน่ายทั่วประเทศเมื่อ พ.ศ.2530
7.ไม่ได้คัดค้านการจัดงาน เพราะงานลอยกระทงที่ไหนๆ ก็จัดได้ทั่วประเทศ
แต่คัดค้าน-ตอบโต้ตามหลักฐานวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา ว่า “สมัยสุโขทัย ไม่มีนางนพมาศ และไม่มีลอยกระทง” เท่านั้น แต่รัฐราชการรวมศูนย์ไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ทุกวันนี้ยังโฆษณาหลอกประชาชน
8.สนับสนุนลอยกระทงดิจิทัลที่ควรแบ่งปันเป็นสากลว่า “ลอยกระทงขอขมาธรรมชาติ ลดโลกเดือด”