ที่เห็นและเป็นไป : ผมกลับมาแล้ว ‘ทักษิณ’

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ จะเกลียดเข้ากระดูกดำหรือรักสุดหัวใจ แต่นาทีนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้แน่นอนว่าสปอตไลต์ฉายส่องให้ “ทักษิณ ชินวัตร” โดดเด่นเห็นชัดในทุกสายตามากที่สุดบนเวทีการเมืองของประเทศ

ตัวชี้วัดที่ชัดเจนคือ “กลไกของการทำลายทางการเมือง” อันรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้ในปัจจุบันสร้างไว้ มีปฏิกิริยาและลงมือปฏิบัติการต่อการแสดงของ “ทักษิณ ชินวัตร” กันคึกคักและเอาเป็นเอาตายเป็นอย่างมาก

นักสแกนพฤติกรรมและคำพูด ทำงานกันละเอียดยิบแบบเอกซเรย์ทุกเม็ด เพื่อจับว่าจุดไหนสามารถเอามาปั้นเป็นประเด็นเพื่อสร้างเรื่องให้เป็นคำร้องขึ้นมาได้บ้าง เพื่อให้นักร้องเรียนทั้งหลายหยิบฉวยเอาไปทำประโยชน์ด้วยการขยายเป็นคำร้อง ส่งให้องค์กรที่คาดหวังว่าจะรับลูกเพิ่มค่าให้กับคำร้องนั้น

เพราะก่อนหน้านั้นการโยน “ทักษิณ” ไปกลางแดดเพื่อให้ถูกพิจารณาความเป็นเรื่องไม่ค่อยผิดหวัง สามารถสร้างชื่อเสียงและอะไรต่ออะไรที่จะเป็นประโยชน์ตามมาให้ “นักสแกนพฤติกรรม” และ “นักร้องเรียน” อย่างน้อยสุดสามารถมีตัวตนเป็นคนสำคัญของประเทศ สามารถอาศัยชื่อเสียงนั้นแสดงบทบาทอื่นๆ ต่อยอดไปได้อีกมาก จนกลายเป็น “อาชีพยอดนิยม” ที่มีคนแห่กันเข้ามาหาสร้างตัวให้เป็น “Influencer” ที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ADVERTISMENT

นั่นเป็นการเมืองในกติกาที่ส่งเสริมการทำลายล้างคู่ต่อสู้ หรือคนที่อยู่ในความคิดว่าเป็นศัตรู มากกว่าจะส่งเสริมให้ใส่ใจในสาระที่แท้จริงแห่งพฤติกรรม ส่งผลให้เกิดภาพลบต่อนักการเมือง โดยเฉพาะที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขณะที่กลายเป็นช่องทางสร้างชื่อ และความนิยมให้กับกลุ่มผู้ไม่ศรัทธาในอำนาจประชาชน

การแสดงบทบาทดังกล่าวต่อการแสดงบทบาททางการเมืองของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในช่วงนี้เรียกให้ “นักล่าเหยื่อ” เหล่านี้ตาวาว เสนอตัวให้เห็นหน้าเห็นตากันคึกคัก

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ติดตามการเมืองอย่างคลุกวงในสักหน่อย จะจับความรู้สึกได้ว่ามีความแปลกออกไปบางอย่างเกิดขึ้น

หลายคนที่เป็นห่วงเป็นใย “ทักษิณ” หรือ “พรรคเพื่อไทย” และ “รัฐบาล” อาจจะมีความคิดว่าออกมาเป็น “เป้า” รอเป็น “หมู่บ้านกระสุนตกทำไม” น่าจะรู้ว่าความเป็น “ทักษิณ” นั่นอ่อนไหว และล่อแหลมต่อความเสี่ยงที่จะถูกจัดการแค่ไหน

แต่หากติดตามให้ดีจะเห็นว่า “ทักษิณ” ไม่ใช่ไม่รู้ หรือลืมบทเรียนของชะตากรรมในอดีต แต่รู้ทั้งรู้ และเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำนั้เอง ครั้งนี้การแสดงออกของ “ทักษิณ” ชัดเจนว่า “ไม่กลัวที่จะ
เหมือนเดิม” แถมยังมีกลิ่นของท่าทีที่ท้าทาย

ทำให้หากลองคิดโดยดูจากภาพรวมของความเป็นมาและเป็นไปที่ส่งผลต่อปัจจุบัน เป็นไปได้หรือไม่ที่ “ทักษิณ” จะเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า “วันนี้ไม่เหมือนวันเก่าอีกแล้ว”

ตัวประกอบข้างเวทีทั้งหลายที่ก่อนหน้านั้นเคยพลิกบทมาเป็น “นักแสดงผู้โดดเด่น” เพราะถูกส่งเสริมให้ได้รับความสำเร็จจากผลงาน วันนี้จะเป็นได้แค่ “เสียงนกเสียงกา แมลงหวี่แมลงวัน” ที่ไม่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรอีกต่อไปแล้ว

คำถามที่คงต้องรอข้อมูลเพื่อวิเคราะห์คำตอบกันต่อไปคือ “ทำไมความเชื่อเช่นนั้นจึงเกิดขึ้นมา”

และอาจบางทีการทำงานการเมืองที่เห็นชัดเจนว่าเปลี่ยนไปไกลจากที่ผ่านมาอย่างชัดเจน อาจจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของคำตอบดังกล่าวก่อนหน้านั้นการต่อสู้ในสนาม “การเมืองท้องถิ่น” ถูกปล่อยให้เป็นเรื่องของ “บ้านใหญ่” กับ “บ้านใหญ่อีกบ้าน” ในพื้นที่ แม้กระทั่งเลือกตั้ง “ผู้ว่าฯกทม.” ยังมีแนวโน้มที่จะถอยกันจากการสู้กันระดับ “พรรคกับพรรค” มาเป็นสู้ด้วย “ผู้สมัครอิสระ”

แต่วันนี้กระทั่งในต่างจังหวัด “การเมืองท้องถิ่น” กลายเป็นศึกระหว่างพรรคที่ต้องระดมขุนพลเผชิญหน้ากันถึงพริกถึงขิง เรียกว่าใช้นโยบายและความสามารถของผู้นำพรรคเป็นตัวชูโรง ไม่ใช่แค่ “ตัวผู้สมัคร” เสียด้วยซ้ำ

บทบาทของ “พรรคการเมือง” ที่ขยายการเป็นหนึ่งเดียวกับ “อำนาจประชาชน” ในมิติที่ลึกขึ้น คนของพรรค สมาชิกพรรคที่ใช่มีแค่สุมกันอยู่ในส่วนกลางเหมือนที่ผ่านมา ทำให้การทำลายพรรคการเมืองด้วยอำนาจที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และดูจะเป็นโทษต่อการยอมรับใน “อำนาจศูนย์กลาง” มากกว่า

แนวโน้มเช่นนี้ ในสภาวะที่ประเทศตกต่ำ ถอยหลังเข้าคลอง ด้วยการถูกแช่แข็งมายาวนานกว่า 20 ปี

ก่อนหน้านั้น “พรรคอนาคตใหม่” หรือ “ก้าวไกล” ที่วันนี้ต้องมาทำงานการเมืองในชื่อ “พรรคประชาชน” สร้างตัว สร้างชื่อให้ประชาชนรับรู้ถึง “การเป็นความหวังที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของชีวิต”

และหลังจาก “เพื่อไทย” พลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลกับ “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่เป็นต้นทางของการทำให้เกิดความสิ้นหวัง ยิ่งมีความเชื่อว่า “จบแล้วเพื่อไทย” แทบไม่ต้องถามเสียด้วยซ้ำว่าจะ “ฟื้นคืนได้อย่างไร”

จนกระทั่ง “ทักษิณ” กลับมาปรากฏตัวหน้าฉาก ด้วยบทบาทที่โดดเด่น แม้ไม่ได้ถือธงนำเองอย่างเป็นทางการ แต่แสดงให้เห็นชัดว่า “จิตวิญญาณ” ของ “กองทัพเพื่อไทย” อยู่ที่ไหน

รู้สึกไหมว่า “เสียงจากความหวังของผู้คนเริ่มพลิกกลับ”

ยิ่ง “ก้าวไกล” ซึ่งเป็นความหวังเดิม ถูกกดให้จมดิ่งสู่ความไร้โอกาสที่จะผุดโผล่ขึ้นมาเป็น “ความหวังได้” เพราะถูกทำจนเป็นความเชื่อที่ขยายตัวไปกว้างขวางว่า “โผล่ขึ้นเมื่อไรจะถูกทุบ กระชากให้ร่วงลง ด้วยอำนาจที่เหนือกว่า”

การจับตาว่าผู้คนหันมาฝากความหวังไว้ที่ “พรรคเพื่อไทย” ในวันที่ “ทักษิณกลับมาแล้ว” ย่อมเกิดขึ้น

เป็นไปได้หรือไม่ที่ “ทักษิณ” รับรู้ถึงความหวังนี้ จึง “กล้า” พอที่จะแสดงด้วยท่าทีที่ใครต่อใครเห็นว่า “น่าจะต้องระมัดระวัง”

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image