The act of Killing : นาฏสังหาร โดย คำ ผกา

 

เพิ่งได้ดูหนัง The Act of Killing ที่ทาง Documentary Club นำมาฉาย และคงต้องบอกว่า หากไม่มี Documentary Club คงยากมากที่เราจะได้ดูหนังสารคดีแบบนี้ในโรงภาพยนตร์ และมันคงเป็นหนังที่ฉายในห้องเรียนวิชาภาพยนตร์ หรือวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เท่านั้น

The Act of Killing หรือชื่อภาษาไทยว่า “ฆาตกรรมจำแลง” เป็นหนังของผู้กำกับฯ คนรุ่นใหม่ ชื่อ Joshua Oppenheimer (เกิดปี 1974) หนังเรื่องนี้พูดถึง “มหกรรมการฆ่า” หรือ การกวาดล้าง “คอมมิวนิสต์” ในอินโดนีเซียช่วงปี 1965-1966 หลังการขึ้นมาครองอำนาจของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต ซึ่งครองอำนาจยาวนานถึง 32 ปี

มหกรรมการฆ่า ในนามของการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ ครั้งนั้นว่ากันว่ามีคนตายถึงครึ่งล้าน บางตัวเลขบอกว่าหนึ่งล้านหรือมากกว่านั้น

การฆ่านั้นกระทำในหลายรูปแบบ ทั้งโดยอาวุธ การทุบตี นักโทษที่กำลังจะอดตายถูกโยนทิ้งน้ำทั้งเป็น การเผา การข่มขืน ฆ่าตัดคอ ฯลฯ

ADVERTISMENT

ไม่นับการ “ปราบปราม” โดยจับบรรดาคนที่เป็นภัยต่อความ “มั่นคง” เข้าค่ายนักโทษการเมือง เข้าคุก ประหารชีวิต ไล่นักวิชาการออกนอกประเทศ และอื่นๆ

และเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่การฆ่าโดยรัฐเหล่านี้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการค้นหาความจริงเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ไม่เพียงแต่ “ผู้ฆ่า” ไม่ต้องไปขึ้นศาลยุติธรรมใดๆ แต่พวกเขายังจะชีวิตอยู่ในสังคมในฐานะ “วีรบุรุษ” และภาคภูมิใจกับการ “ฆ่า” ในครั้งนั้นของตนเอง

เมื่อ “ผู้ฆ่า” คือวีรบุรุษ แน่นอนว่า สังคมอินโดนีเซีย และประชาชนส่วนใหญ่ของอินโดนีเซีย ไม่ได้รับรู้ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ของตนเองแม้แต่น้อย

มันไม่ปรากฏในแบบเรียน หรือมันก็ปรากฏในทางตรงกันข้าม คู่ขนานไปกับการผลิตภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับภัยคอมมิวนิสต์ และวีรกรรมของกลุ่มเยาวชนปัญศีลา หรือ Pemuda Pancasila ที่เข้าร่วมกับรัฐในการกวาดล้าง (อ่านว่าฆ่าคนไปนับล้าน) คอมมิวนิสต์ และนั่นทำให้ โจชัว เปิดหนังของเขาด้วยโควตของวอลแตร์ที่บอกว่า

“All murders are punished, unless they kill in large numbers, and to the sound of trumpets”

(ฆาตกรทุกคนต้องถูกลงโทษ เว้นแต่ว่าพวกเขาได้ฆ่าคนไปในจำนวนที่มากพอคลอเคล้าไปกับเสียงทรัมเป็ต)

การฆ่าโดยรัฐครั้งนั้นในอินโดนีเซีย มันไม่ได้เป็นการลงมือโดยตรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นสิ่งที่โจชัว เรียกว่าการ outsource the killing หรือการใช้บริการจากเหล่าพลเรือนให้ไปฆ่าพลเรือนด้วยกันเอง

การ outsource การฆ่าให้กับพลเรือนนั้น ไม่ได้ไปด้วยการ “จัดจ้าง” แต่ไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองพลเรือนและกลุ่มเยาวชน ให้พวกเขาเชื่อว่าพวกเขากำลังรับใช้ชาติ ปกป้องชาติอินโดนีเซียจากภัยคอมมิวนิสต์ เพลงของกลุ่มยุวชนปัญศีลาร้องเพื่อปลุกใจคือเพลงที่แต่งมาร้องเมื่อครั้งอินโดนีเซียกำลังเรียกร้องเอกราช

ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงชื่อว่า The Act of Killing หรือในภาษาไทยแทนคำว่า Act ว่า “จำแลง” นั่นก็เพราะว่า โจชัว ผู้กำกับฯ ซึ่งใช้เวลาในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2004-2012 ได้ตระเวนไปพูดคุยกับเหล่าพลเรือนที่เป็นอาสามัครในการออก “กวาดล้าง” คอมมิวนิสต์ และได้ให้พวกเขามา “แสดง” (act) ให้ดูว่า เขา “ฆ่า” พวกคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียไปอย่างไร

โดยให้คนกลุ่มนี้ “สร้าง” ภาพยนตร์เพื่อทำให้เราเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในปี 1965-1966

และโดยที่เราคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่า คนกลุ่มนี้กระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะ “แสดง” การฆ่าให้โลกรับรู้เพราะมันคือสิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจและอยาก “อวด” โลกทั้งใบให้เห็นว่า พวกเขา “เจ๋ง” แค่ไหน

หนัง The Act of Killing มันจึงเป็นหนังซ้อนหนัง เป็นการ “แสดง” ที่อยู่ในการถ่ายทำ “สารคดี” – ที่แปลว่าไม่มี “การแสดง” หรือ acting และกระบวนการ “จำลอง” การฆ่าออกมาเป็นการแสดงภายใต้รูปแบบของการ “ไม่แสดง” จึงสร้างความปั่นป่วนแก่ผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปในอากัปอาการที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามีประสบการณ์ต่อ “ความจริง” ว่าด้วย ; การฆ่าโดยรัฐ (ไม่ว่าจะโดยยืมมือพลเรือนหรือไม่), การฆ่า, ประวัติศาสตร์,วีรบุรุษ, ความยุติธรรม, จริยธรรม อย่างไร

หนังเรื่องนี้ทำให้อุปมาของการฆ่าในฐานะที่เป็นนาฏกรรมของรัฐ ปรากฏตัวต่อหน้าเราในฐานะที่เป็นนาฏกรรมจริงๆ และเรากลับต้องมาทบทวนความพร่าเลือนของการฆ่าที่เรามักคิดว่าเป็นความผิดบาป กับการฆ่าที่รัฐมักจงใจ “แสดง” ให้เราเห็นอย่างโจ๋งครึ่มหรือแสร้งเผอเรอปล่อยให้เราเห็นร่องรอยของการจงใจฆ่า “ศัตรูของรัฐ” เพื่อให้เรากลัวและต้องสมยอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัวกับอำนาจรัฐ

ในที่สุดแม้จะโดยจำยอม เลือดเย็นกว่า เมื่อมหกรรมการฆ่าที่เป็นนาฏกรรมของมวลชนได้ถูกทำให้กลายเป็นความสามัญปกติในจิตใจและการรับรู้ของเรา เมื่อเราเพิกเฉยกับการตายของผู้คนที่แม้จะสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเป็นการตายที่ผิดปกติอย่างยิ่ง

แต่เราก็ปฏิบัติต่อมันราวกับว่ามันคือสิ่งสามัญธรรมดาที่สุดในโลก

การปรากฏตัวของผู้ฆ่า อย่าง อันวาร์ คองโก และเพื่อน ใน The Act of the Killing โดยเฉพาะฉากที่นั่งรถเปิดประทุน พร้อมทั้งบทสนทนารื้อฟื้นความหลังเรื่องการฆ่าอย่างฮึกเหิม ส่งสะเทือนทางความรู้สึกที่ชวนกระอักกระอ่วน

ไม่ใช่กระอักกระอ่วนต่อการขบขันต่อการฆ่าของมือสังหารเหล่านี้

แต่กระอักกระอ่วนตรงตำแหน่งแห่งหนของตัวเราเองกับคนแบบอันวาร์และเพื่อน

พวกเขาคือสะเก็ดหางแถวของหางแถวแห่งเครือข่ายอำนาจ อิทธิพลของการเมืองระดับชาติ นอกจากจะเป็นได้เพียง ข้าช่วงใช้ให้ “รัฐ” ยืมมือไปฆ่า เพื่อ “รัฐ” จะได้ไม่ต้องเอามืออันสูงส่งมาเปื้อนเลือด

พวกเขายังดูน่าสังเวชเป็นที่สุดกับการโอ้อวดศักดาว่าตนนั้นได้ครอบครองเครื่องอุปโภคบริโถคอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเป็นชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ไม้แกะสลักลายดอกไม้ที่เฉิ่มโป๊ะของอันวาร์ หรือสูทประหลาดๆ ของเขา

ภาพ Herman Koto กับพุงขนาดมหึมาพร้อมการใช้ขันพลาสติกตักน้ำมาแปรงฟันพร้อมสำราก โอ๊กอ๊าก ขากเสลดในห้องน้ำอันบอกความเป็นโลกที่สามทุกประการก่อนตัดมาสู่การถ่ายภาพในสตูดิโอกับครอบครัวในชุดสูท ชุดประจำชาติ พร้อมฉากหลังเป็นวอลล์เปเปอร์รูปชั้นหนังสือที่มีหนังสืออันโอ่อ่า เป็นฉากหลังให้กับเขา ดังนั้น การอ่านหนังสือจึงไม่สำคัญเท่าการถ่ายรูปกับวอลล์เปเปอร์รูปหนังสือ!

หรือภาพการเดินอวดคริสตัลของสะสมที่โอ้อวดว่าเป็นของ “ลิมิเต็ด” ทั้งๆ ที่สรรพสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง European Kitch หรือของแต่งบ้านสามานย์ของเหล่ากระฎุมพีผู้ซึ่งเข้าใจว่า junk นั้นหรือคือ treasure

โจชัวให้สัมภาษณ์กับ Inside Indonesia (1) สำหรับเขา การทำหนังสารคดีเกี่ยวกับเหยื่อนั้นง่าย เพราะมันทำให้เราเชื่อว่าเรายืนอยู่ข้างคุณงามความดีและการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้ถูกกระทำ

แต่การทำหนังสารคดีเกี่ยวกับผู้กระทำต่างหากที่ยาก ที่มันยากเพราะอันที่จริงแล้วพวกเราทุกคนล้วนแต่มีความเป็น “อันวาร์” อยู่ในตัวทั้งสิ้น

เรามีส่วนในการ “กระทำ” หรือแม้แต่ในมหกรรมการฆ่า เพียงแต่เราปล่อยให้ตัวเองด้านชา เพราะหากไม่ด้านชา เราจะดำรงชีวิตต่อไปไม่ได้

“อันวาร์” ที่มีอยู่ในตัวเรานั่นเองที่ทำให้การดูหนังเรื่องนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก กระอักกระอ่วน

เราเกลียดที่อันวาร์และเพื่อนสนุกสนานกับการเล่าถึงการฆ่าของพวกเขาอย่างภาคภูมิใจ

เราขยะแขยงไอ้นักการเมืองท้องถิ่นหน้าไหว้หลังหลอกรสนิยมต่ำทรามที่สะสมคริสตัลขยะๆ จากยุโรป

แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ยกย่องคนแบบอันวาร์ใช่หรือไม่

และตัวเราเองก็เคยยกย่องชื่นชมคนแบบอันวาร์ใช่หรือไม่?

แย่ไปกว่านั้นเราอาจรังเกียจคนแบบอันวาร์ แต่เรากลับไม่เคยตั้งคำถามกับคนที่ outsource การฆ่าไปให้เป็นภาระของอันวาร์ ละปล่อยให้อันวาร์เป็นจำเลยของสังคมไป

สําหรับคนดูอย่างฉัน ภาพยิ้มระรื่นของอันวาร์เล็กน้อยมาก เมื่อหันกลับมามองสภาพการณ์ปัจจุบันของโลกที่เราเห็นใบหน้าฆาตกรปรากฏอยู่ในสื่อทุกสื่อในนามของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จบ้าง

ในนามของผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อมบ้าง นักการเมืองผู้เคียงข้างประชาชนบ้าง

ในนามนักบวชที่น่าเลื่อมใสบ้าง

ในนามนักวิชาการบ้าง

ในนามของผู้บริจาคเงินเพื่อผู้ยากไร้ทั่วโลกบ้าง

อย่างที่โจชัวบอก ในขณะเราร่ำไห้กับชีวิตของคนงานโรงงานทอผ้าที่ถูกไฟคลอกตายที่ศรีลังกา ในขณะเดียวกันเราก็อาจกำลังสดุดีความสำเร็จของนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่คนงานเหล่านั้นรับจ้างเย็บ

และแน่นอน เจ้าของแบรนด์เหล่านั้นก็บอกว่า “ฉันไม่รู้เลยว่ามีโศกนาฏกรรมนี้เกิดขึ้น ความโหดร้ายนั้นเป็นเพราะนักธุรกิจท้องถิ่นที่เรา outsource ให้เขาไปทำต่างหาก”

จากนั้นเราก็จะอุดหนุนเสื้อผ้ายี่ห้อนั้นต่อไป เพราะมันสวยและราคาถูกเป็นบ้า โจชัวบอกว่าเขาไม่ได้ทำหนังสารคดีเพื่อเล่าประวัติศาสตร์ แต่เขากำลังบอกเล่าความน่าสะพรึง (terror) “ร่วมสมัย” ซึ่งมีเราเป็นหนึ่งในนั้นในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด

เชิงอรรถ

(1) ภาษาจากต้นฉบับคือ “I think by identifying with Anwar, audiences are forced to confront the fact that we are all much closer to perpetrators than we like to believe. I think the whole tradition in which documentaries tend to tell the stories of survivors and victims exists, in part, to reassure ourselves that we are not perpetrators, that we are beautiful souls doing beautiful things for people. In fact, we are much closer to perpetrators than we like to believe.

Everything in our daily lives – our clothes, our food – is haunted by the suffering of the people who produced them. The people who made the computer on which I am typing these words live in dormitories with netting on their balconies so that they don”t jump off in despair, so terrible and hopeless are their working and living conditions. Why? Because men like Anwar and his friends are on the ground terrorising them so that they don”t dare struggle for better conditions, and gain some control over their lives. http://www.insideindonesia.org/an-interview-with-joshua-oppenheimer