คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : เมื่อพระ ‘ปีนเสา’ อยู่กลางแสง

พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตฺตธมฺโม (เสาวภาคย์โชติรส) เป็นที่รู้จักในนาม “พระปีนเสา” ตัวละครสำคัญในข่าวชาวบ้านมาร่วมเดือน

ที่เรียกกันว่า “พระปีนเสา” ก็เนื่องมาจากเป็นที่รู้จักครั้งแรกจากข่าวในปี พ.ศ.2561 ที่พระรูปนี้ได้ปีนเสาสัญญาณสื่อสารภายในที่ดินที่ตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมย่านพุทธมณฑลสาย 3 เพื่อประท้วงการที่จะถูกธนาคารแห่งหนึ่งขับไล่ออกจากพื้นที่ เพราะอันที่จริงพื้นที่รกร้างที่พระรูปนั้นได้ไปถือวิสาสะก่อตั้งสำนักสงฆ์นั้น แท้จริงแล้วเป็นที่ดินของเอกชนที่ถูกธนาคารยึดไว้ขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ พระรูปดังกล่าวจึงได้ไปปีนเสาสัญญาณเพื่อประท้วงต่อรองกับธนาคารเพื่อที่จะไม่ย้ายสำนักสงฆ์ออกไป นั่นเป็นครั้งแรกที่พฤติกรรมการ “ปีนเสา” เพื่อยื่นข้อเรียกร้องของพระรูปนี้เป็นข่าวต่อสาธารณะ

หลังจากนั้นก็ยังมีพฤติกรรมปีนโน่นปีนนี่อีกหลายครั้ง เช่นในปีถัดมา พ.ศ.2562 ก็ได้ปีนเสาสัญญาณที่เดิมเพื่อเรียกร้องให้ธนาคารยอมขายที่ดินพิพาทให้ และในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 ก็ได้ไปปีนต้นไม้หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในกรณีที่สื่อมวลชนเสนอข่าวพฤติกรรมของพระสงฆ์อันเป็นที่เสียหาย และเรียกร้องขอให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณสร้างศูนย์กลางการเรียนรู้พระพุทธศาสนาตามแนวทางของกลุ่มตน

“พระปีนเสา” มี “แฟนคลับ” หรือผู้ติดตามที่สมาทานในแนวคิดความเชื่อแบบเดียวกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มชาวพุทธสุดโต่งถึงขนาดประกาศตัวเป็นศัตรูกับศาสนาอื่น ทั้งตั้งตนเป็น “องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนา” ที่กลุ่มของพระรูปนี้เห็นว่า การที่ประชาชนและสื่อมวลชนเสนอข่าวพฤติกรรมอันไม่ถูกไม่ควรหรือไม่เหมาะสมของพระสงฆ์นั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นการ “ปลุกระดม โจมตีพระพุทธรูป บิดเบือนพระธรรม ย่ำยีพระสงฆ์ ทำลายวัฒนธรรมประเพณีไทย” รวมทั้งตั้งตัวเป็นศัตรูกับฆราวาสชื่อดังที่มีชื่อออกสื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

ADVERTISMENT

คือถ้าจะให้สรุปรวบยอด จากการหาข้อมูล แนวคิดของ “พระปีนเสา” และผู้ติดตามนั้นถือคติแบบ “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” ฆราวาสไม่มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์พระ ไม่ต้องเสนอข่าวใดๆ ในทางไม่ดีเกี่ยวกับผู้เป็นสมมุติสงฆ์ไม่ว่าจะในทางใดๆ นั่นแหละ

ที่ “พระปีนเสา” ออกมามีบทบาทในรอบล่าสุด ก็เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเกิดประเด็นดราม่าวิวาทะหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหลักธรรมคำสั่งสอน มีฆราวาสผู้รู้ธรรมหรือเคยบวชมาแล้วออกมาให้ความรู้แสดงความเห็นต่อหน้าสื่อ เรื่องก็ทำให้ “พระปีนเสา” เกิดอาการของขึ้น รวบรวมมวลชนไปบุกรายการ “โหนกระแส” ของ กรรชัย กำเนิดพลอย หรือ “พี่หน่วง” เจ้าเก่าของเรา เพื่อประท้วงด้วยข้อหาเดิมๆ คือกล่าวหาว่าการจัดรายการของ “พี่หน่วง” นั้นเป็นการปล่อยให้ฆราวาสออกมาวิพากษ์วิจารณ์พูดจาให้ร้ายพระสงฆ์ทำลายพระพุทธศาสนา

ADVERTISMENT

ในที่สุด “พระปีนเสา” ก็ได้แสงสมใจด้วยการได้ไปออกรายการโต้เถียงกับฆราวาสผู้มีชื่อเสียงในเรื่องหลักธรรมและพระพุทธศาสนาในสื่อต่างๆ ซึ่งก็เกิดภาพวิวาทวุ่นวายปรากฏต่อสังคมผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า “พระปีนเสา” นั้นสมควร “พอ” ได้แล้ว

พฤติกรรมความสุดโต่งของพระรูปดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับเท่าไรจากทางฝ่ายสงฆ์ ด้วยเห็นว่าพฤติกรรมของ “พระปีนเสา” นั้นรังแต่จะทำให้ญาติโยมเบื่อหน่ายไปจนถึงดูหมิ่นเกลียดชัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์โดยรวม จนกระทั่งต้องมีการดำเนินการไปตามกระบวนการทางกฎพระและกฎหมาย โดยมี “หลวงพี่น้ำฝน” พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม นครปฐม ซึ่งเป็นพระชื่อดังอีกรูปหนึ่งเป็นเหมือนผู้มารับจัดการ โดยการตรวจสอบก็เห็นช่องดำเนินการเรื่องหนึ่งว่า “พระปีนเสา” ไม่ได้อยู่จำวัดในวัดที่ตนมีสังกัดอยู่ และเมื่อวัดออกคำสั่งให้กลับไปจำวัดก็ไม่กลับ ส่งผลให้มีคำสั่งลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 จากวัดสามชุก ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดให้ขับออกจากวัด และตามกฎหมาย “พระปีนเสา” ก็จะถือเป็น “พระเถื่อน” ที่ฝ่ายทางการบ้านเมืองอาจจะจับสึกได้ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 27 (3) และ (4) ที่กำหนดว่าหากพระภิกษุไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องสึกภายในสามวันนับแต่ต้องคำวินิจฉัยให้สละสมณเพศ

อย่างไรก็ตาม “พระปีนเสา” ก็ได้สังกัดใหม่ที่วัดวังกวาง จังหวัดปราจีนบุรี แต่ก็ไม่ยอมไปประจำที่วัดดังกล่าว จนถูกออกหนังสือเรียกตัวกลับวัดตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่พระรูปนี้ก็ยังคงตระเวนไปออกสื่อโต้เถียงกับคนโน้นคนนี้ ก่อนที่จะโดนรุมทำร้ายโดยชายฉกรรจ์ 3 คน ไปข้างต้น ซึ่งผู้ก่อเหตุได้รับว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพี่น้ำฝน แต่ได้กระทำไปโดยส่วนตัวเนื่องจากอดรนทนไม่ไหวต่อพฤติกรรมของพระรูปดังกล่าว

ข่าวล่าสุดกรณี “พระปีนเสา” ก็จบลงตรงนี้ แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้มีแง่มุมที่น่าพิจารณาที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องที่ว่า ในที่สุดแล้วพระรูปนี้จะถูกจับสึกหรือไม่ จะไปทะเลาะกับใครอย่างไร หรือจะออกทีวีช่องไหนต่อ คือแง่มุมของ “อำนาจรัฐ” และ “กฎหมาย”

ตามหลักการของรัฐสมัยใหม่ ที่รัฐส่วนใหญ่ในโลกเสรีนั้นถือหลักดำรงตนเป็นกลางในทางศาสนาตามแนวคิดของรัฐฆราวาส (Secularism) ที่จะไม่ก้าวล่วงลงไปใช้อำนาจโดยตรงกับการดำเนินกิจกรรมหรือกิจการทางศาสนา นอกจากนี้ ในทางรัฐธรรมนูญนั้น “เสรีภาพในการถือศาสนา” ถือเป็นเสรีภาพหรือสิทธิขั้นพื้นฐานที่อยู่ในระดับสูงสุด คือเป็นหนึ่งในเสรีภาพที่อำนาจรัฐใดๆ จะก้าวล่วงหรือจำกัดไม่ได้เลย แต่การก้าวล่วงไม่ได้ของอำนาจรัฐนี้ก็จำกัดแค่ส่วนที่เป็น “เสรีภาพ” ในการที่คนจะเลือกว่าจะนับถือศาสนาใดหรือนิกายใดเท่านั้น แต่สำหรับเสรีภาพในการ “ปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนา” นั้น ก็มีข้อจำกัดว่า ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้รัฐก็มีอำนาจที่จะตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อกำหนดรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาในส่วนนี้ได้

ความที่ “ศาสนา” นั้นถือเป็นสถาบันทางสังคมที่เก่าแก่และทรงพลังที่สุด ที่ความเชื่อและความศรัทธาคือเหตุผลในตัวเอง และความเชื่อความศรัทธานั้นสามารถเนรมิตได้แม้กระทั่งมหาวิหารอันโอ่อ่าสง่างามที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ยังต้องทึ่ง ไปจนถึงการก่อสงครามระดับมหากาพย์ที่กินเวลานับร้อยปี ด้วยเหตุนี้ทำให้สถาบันทางศาสนาต่างๆ นั้นก็มีแง่มุมที่พ่วงเข้ามานอกเหนือจากหลักธรรมความเชื่อ วัตรปฏิบัติ และการประกอบศาสนพิธี คือเรื่องของผลประโยชน์ ความมั่งคั่ง ไปจนถึงกำลังคนอันได้แก่บรรดาผู้ศรัทธาในศาสนานั้นๆ

ด้วยแง่มุมดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้รัฐจะปล่อยให้มณฑลแห่งศาสนาและสถาบันทางศาสนานั้นเป็นพื้นที่ปลอดจากการแทรกแซงจากรัฐเสียเลยก็มิได้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่อำนาจรัฐจะเข้าไปสัมผัสกับแดนแห่งศาสนาและความเชื่อนั้น ต้องทำอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่รัฐไม่พึงเข้าไปใช้อำนาจ “ตัดสิน” ในกิจการของศาสนาว่า แนวทางไปจนถึงมุมมองการตีความของศาสนาหรือนิกายใด คือสิ่งที่ถูกหรือผิด ต่างจากกิจกรรมเชิงสังคมอื่นๆ ที่รัฐอาจจะไปกำหนดได้ว่า การกระทำอย่างไรที่ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่รัฐยอมรับ

อำนาจรัฐที่มีต่อศาสนาจึงเป็นการวางมาตรการไม่ให้ผู้คนต้องพิพาทกันเพราะการที่ผู้หนึ่งผู้ใดกระทำการลบหลู่ต่อศาสนาและความเชื่อของผู้อื่น เช่นในประมวลกฎหมายอาญาของไทย ก็มีความผิดในหมวด 2 ลักษณะ 4 ความผิดต่อศาสนา ที่กำหนดความผิดอาญาต่อการกระทำต่อวัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของผู้คนที่เป็นการเหยียดหยามศาสนา ตามมาตรา 206 การก่อให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในที่ประชุมศาสนิกชนเวลาที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 207 และการแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นนักพรต นักบวชโดยมิชอบ ตามมาตรา 208

นอกจากนี้ ก็มีกฎหมายเฉพาะของแต่ละศาสนาให้สถาบันทางศาสนานั้นควบคุมกันเอง โดยรัฐจะใช้อำนาจก็เพื่อให้การควบคุมโดยสถาบันทางศาสนานั้นมีสภาพบังคับได้เท่าที่จำเป็น ตัวอย่างของกฎหมายคณะสงฆ์นั้นมีลักษณะดังที่กล่าวไปข้างต้น นั่นคือให้อำนาจคณะสงฆ์ในการสั่งให้พระภิกษุที่กระทำผิดจารีต พระธรรมวินัย หรือระเบียบการปกครองสงฆ์นั้นต้องสึกหาลาเพศออกไป หากไม่สึกจึงจะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งรัฐจะรับมาบังคับให้ในกระบวนการนี้ แต่รัฐจะไม่เข้าไปชี้ผิดชี้ถูกในเนื้อหา

ที่กล่าวไปคือขอบเขตอำนาจอันบางเบาที่รัฐจะเข้าไปจัดการ หากมีข้อพิพาทหรือขัดข้องในเรื่องของพระและคณะสงฆ์

แต่หากเราย้อนกลับไปที่พื้นฐาน ถึงเหตุผลของการมีอยู่ของ “รัฐ” “อำนาจรัฐ” และ “ระบบกฎหมาย” นั้น ก็เพื่อให้เป็นอำนาจเดียวที่จะมีความชอบธรรมในการยุติความขัดแย้งในสังคมภายใต้อำนาจรัฐนั้นได้ พร้อมกับการที่ห้ามมิให้สมาชิกในสังคมนั้น “ชำระข้อพิพาท” กันเองโดยปราศจากอำนาจรัฐ

พูดง่ายๆ คือ เรามี “รัฐ” มี “กฎหมาย” เพื่อไม่ให้พวกเราต้องมาต่อยกันเองหากเกิดเหตุวิวาทบาดหมางขึ้น

เช่นนี้ การที่ “พระปีนเสา” นั้นถูกเตะถีบจากพฤติกรรมที่มาจากความเชื่อและการตีความศาสนาของตน จากผู้คนที่เห็นว่าวัตรปฏิบัติหรือการแสดงออกของพระรูปดังกล่าวเป็นเรื่องเหลือทน โดยก่อนหน้านี้พระรูปนี้ก็เคยถูกบุกเข้ามาตบหัวต่อหน้าสื่อมาแล้วในครั้งที่บุกไปประท้วงสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่า “หน้าที่” ของ “รัฐ” และ “ระบบกฎหมาย” อาจจะเริ่มมีปัญหากับเรื่องนี้แล้วก็ได้

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตอยู่ว่า อันที่จริงแล้ว พฤติกรรม “ปีนเสา” ของพระรูปนี้นั้นก็เคยมีมาก่อนแล้ว แต่ที่ผ่านมานั้นก็ไม่ปรากฏว่าจะก่อให้เกิดความ “เดือดดาล” ในระดับที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาทางสังคมมาก่อน อย่างมากก็ถูกมองว่าเป็นพวกพระสุดโต่งรูปหนึ่งหรือคณะหนึ่งเท่านั้น

แต่ที่เรื่องของ “พระปีนเสา” นั้นกลายมาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมจนบานปลายไปเป็นการลงไม้ลงมือกันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวของพระรูปนั้นเอง ที่พยายามเข้าหาแสงหาสื่อด้วยแนวทางและพฤติกรรมอัน “สุดโต่ง” ของเขาเอง แล้วไปประกอบพอดีเข้ากับการที่กระแส “ฆราวาสรู้ธรรม” กำลังเป็นที่สนใจของสังคมพอดี และเมื่อกระแสไปเข้าทาง และฝ่ายนั้นต้องการแสงอยู่แล้ว ภาพของ “พระปีนเสา” นั้นถูกฉายและขยายใหญ่ขึ้นให้สังคมได้มองเห็นอย่างชัดเจน กลายเป็นการไปกระตุ้นให้ผู้คนในสังคมรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่น่าเลื่อมใส ชวนให้ดูหมิ่นเกลียดชัง ควรจะให้ใครสักคนไป “พาลงมา” เสียที และหาทางไม่ให้กลับขึ้นไปอีก แต่ก่อนที่กระบวนการทางศาสนาและอำนาจรัฐจะทันทำอะไร ก็ปรากฏว่ามีคนใจร้อนไปจัดการงานนอกสั่งเข้าให้

ภาพที่ฆราวาสนั้นลงมือลงเท้าเข้ากับผู้ที่ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมประการใดๆ แต่อย่างไรก็ต้องถือว่ามีสถานะเป็น “พระสงฆ์” อยู่ โดยในขณะนั้นพระที่เป็นปัญหาก็ยังไม่ได้ถูกองค์กรคณะสงฆ์มีคำสั่งที่ชัดเจนว่าพ้นจากความเป็นสงฆ์ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะดีนัก ไม่ว่าจะในแง่ของความสามารถในการควบคุมความสงบเรียบร้อยทางสังคมของอำนาจรัฐ หรือในแง่ของการจัดการระงับปัญหากันภายในสถาบันทางศาสนา ศาสนิก และนักบวชแห่งศาสนานั้น

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image