ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ได้ผลจริงๆ ครับ หลังจาก รศ.เอกชัย กี่สุขพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) โยนประเด็นปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาค ด้วยความคิดใหม่เสนอให้จังหวัดเป็นพื้นที่หลัก จัดการบริหารการศึกษาอย่างมีเอกภาพและคุณภาพ
ให้เขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของศึกษาธิการจังหวัด ภายใต้คณะกรรมการการศึกษาจังหวัด
ในอนาคตจังหวัดที่มีความพร้อมอาจพิจารณาให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาออกนอกระบบราชการ มีเงินตอบแทนไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อเดือน ทำสัญญาจ้างคราวละ 4 ปี หากไม่สามารถบริหารการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงให้พ้นจากตำแหน่ง
ความคิดดังกล่าวได้รับปฏิกิริยาตอบกลับ ทั้งดอกไม้และก้อนอิฐในเวลาเดียวกัน มีทั้งสนับสนุนและเห็นต่างผมเลยมัดมือชกเอาข้อคิดเห็นของแต่ละฝ่ายมาเล่าสู่กันฟังต่อไป
ท่านแรก รศ.ประภาภัทร นิยม แห่งโรงเรียนรุ่งอรุณสะท้อนคิดว่า ความคิด ข้อเสนอของ รศ.เอกชัย ชัดเจนดีมาก น่าชื่นชม ที่กล้าเสนอประเด็นการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารรวมศูนย์กลางเดิม มาสู่การกระจายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปยังจังหวัด
ท่านต่อมา ดร.สมพร เพชรสงค์ สมัชชาการศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี เห็นว่าข้อเสนอยังสัมผัส การเร่งรัดคุณภาพผู้เรียนอย่างตรงไปตรงมาไม่ค่อยชัด เน้นโครงสร้างการบริหารเป็นหลัก ซึ่งมีผลกระทบทั้งบวกและลบ
อีกรายฝ่ายเห็นแย้ง นักการศึกษาระดับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา มองว่า “ความคิด รศ.เอกชัย ไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ และความคิดใหม่” มีเหตุผลดังนี้
1.การบริหารโดยให้ สพท.อยู่ภายใต้กำกับของศึกษาธิการจังหวัด เป็นการถอยหลังลงคลอง ประเทศเราเคยบริหารแบบนี้สมัย ร.ร.ประชาบาล รุ่นคุณพ่อ คุณแม่ คณะกรรมการขับเคลื่อนจังหวัดล้มเหลว เพราะจังหวัดไม่เข้าใจการศึกษาอย่างลึกซึ้ง เหมือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ผลิตนักศึกษามาแล้วได้แต่วิชาการ หรือตำรา ต้องมาปฏิบัติคือ ฝึกประสบการณ์จึงจะเข้มแข็ง ดูตัวอย่างใกล้ตัว กศจ.ที่บริหารงานบุคคลผิดพลาด อุ้ยอ้าย ต้องกลับคืนมาที่ สพท. ซึ่งตอนนี้ทุกเขตบริหารจัดการได้ดีในภาพรวม ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่ามีบางเขตที่ไม่โปร่งใส แต่ก็ต้องหากลไกในการป้องปราม และลงโทษ
2.ดิจิทัลไม่ใช่ภัยคุกคาม และเป็นเครื่องมือสนับสนุนการศึกษาและการทำงาน หากเปิดรับ เปิดใจไม่กลัวคนจะหมดคุณค่า แต่ต้องฝึกพัฒนาคนให้ก้าวไปกับเทคโนโลยี ยอมรับความแตกต่าง ประเทศจะผลิตงานวิจัยได้อีกมากมายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และจะเพิ่มศักยภาพด้านการศึกษาส่งเสริมให้คนศึกษาต่อได้อีกมากและสะดวกทุกที่ทุกเวลา
3.เงินเดือนและอายุไม่ใช่เรื่องใหม่ การจัดทำข้อตกลง ทำสัญญา เป็นการเลียนแบบต่างประเทศ ที่มีการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น ทั้งญี่ปุ่น และอเมริกา ประเทศไทย เงินเดือนผู้บริหาร และครูปัจจุบันไม่ได้น้อยไม่ใช่ปัจจัยต้นที่จะเป็นเครื่องมือล่อตา ล่อใจ แต่การเตรียมความพร้อมของคนมาบริหารครู บริหารเขตต่างหาก ที่ต้องคำนึงถึง ประเทศไทยยังไม่เตรียมคน ฝึกคน ให้มีชาตินิยม ให้มีระเบียบแบบแผน ความรับผิดชอบ อย่างจริงจัง การศึกษาไม่ได้มีพื้นฐานของคุณภาพที่เท่าเทียมทั่วทุกอณูตารางนิ้วของประเทศ
4.ประเทศไทยติดแต่กับดัก พูดแต่ PISA คะแนนสอบ เรื่องซ้ำๆ ไปดูการสอบเป็นแบบสุ่ม กี่ปีก็ตามไม่มีวันแก้ไขได้ เพราะการศึกษาประเทศไม่เท่าเทียม PISA ต่ำไม่ได้หมายถึงเด็กไม่เก่ง ไม่มีทักษะ แต่เพราะการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม เสมอภาค หากเลือกสอบใน ร.ร.ชื่อดังร.ร.ที่มีความพร้อม ตั้งแต่คุณภาพชีวิตนักเรียน สภาพครอบครัว ฐานะ การศึกษา อย่างไรก็ได้คะแนนดี ไปดูคะแนนสอบ O-NET รายโรงเรียน แปรผกผันตามปัจจัยที่กล่าวมา
5.นักการศึกษามีแต่ปรับโครงสร้าง พ.ร.บ.การศึกษาไม่ได้พิการ ทุกวันนี้ผ่านมาเป็น 20 กว่าปี ยังขับเคลื่อนได้ไม่หมดทุกมาตรา แต่ต้องปรับที่รากฐานคือ ผู้ปกครองนักเรียน ครู และโรงเรียน
การบริหารจะออกมารูปแบบใดต้องมีพื้นฐานที่มั่นคง ใช้พื้นที่จังหวัด อำเภอ หรือประเทศเป็นฐาน ต้องให้เท่าเทียม ลด single command แต่ให้กระจายอำนาจโดยมีการเตรียมคนอย่างแท้จริง ผู้บริหารต้องผ่านการขับเคี่ยวความรู้ในทุกด้าน ครูต้องผ่านการขับเคี่ยวศาสตร์การสอน และอื่นๆ ต้องผ่านการขับเคี่ยวอย่างเข้มข้น ถึงเข้าสู่การศึกษา แต่ปัจจุบันหากคิดอะไรไม่ออกตั้งแต่มหาวิทยาลัย ก็เปิดสาขาครู ลดคะแนนสอบ ถ้าทำข้อสอบเข้าไม่ได้ ใช้ระบบคัดเลือก หยิบใครก็ได้มาเป็นครู/ศึกษานิเทศก์
6.ศึกษานิเทศก์ปัจจุบันไม่ได้ทำงานตัวเองมีแต่ทำโครงการ ที่ลงนิเทศ เพราะมีค่าตอบแทนค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง การทำโครงการคือการเพิ่มฐานะทางการเงิน ค่าตอบแทนวิทยากร ต้องเป็นแบบกลุ่ม สำนักงานไหนไม่ให้ทำก็เกิดปัญหาเป็นมาเฟียในองค์กร ปั่นป่วน ต้องเฟ้นหาคนและขับเคี่ยวเช่นเดียวกับครู ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนมาเป็น ศน. เพราะถ้าครูเข้มแข็ง ผอ.ร.ร.เข้มแข็งก็สามารถนิเทศกันเองได้ หรือแลกเปลี่ยนระหว่าง ร.ร./กลุ่ม/จังหวัด
ทั้งหมดนี้ที่เขียนมาแค่แลกเปลี่ยนทัศนะมุมมอง เพราะรู้สึกว่าเหรียญมี 2 ด้าน การคาดเดา วางแปลนโดยไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ เกิดปัญหาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เสียงสะท้อนที่เคยให้ไปไม่เคยดังพอ คนตัวเล็กเลยต้องทำงานตามคนตัวใหญ่ที่ไม่เคยแม้สัมผัสงาน เพียงแต่ได้สดับรับฟังหน้างานที่จริงบ้าง เท็จบ้าง และนำมาผสมผสานความคิด ตามอคตินิยม และความเชื่อ และสั่งให้ลงมือทำ หรือนี่ คือ Active Learning
สุดท้ายไม่ได้ว่าข้อคิดของอาจารย์เอกชัยผิด แต่เห็นว่ากลยุทธ์เคยมีมาแล้วในต่างแดน ประเทศไทยต้องบริหารบนสภาพจริงของประเทศ และพัฒนาสู่คุณภาพ บนบริบทของเรา คารวะอาจารย์ด้วยใจ
ฟังเสียงสะท้อนกลับแล้ว รศ.เอกชัย สานเสวนามาอีกครั้ง ให้สาธารณชนคนกลาง ร่วมคิด วินิจฉัย ดังนี้ ครับ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การมีศึกษาธิการจังหวัดเป็นการถอยหลังเข้าคลองใช่หรือไม่ คำตอบคือมีทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะคิดแบบชื่อเดิมคือมีศึกษาธิการอำเภอ ศึกษาธิการจังหวัด ดูเหมือนแบบเดิม แต่หากพิจารณาดูบทบาทหน้าที่และอำนาจเปลี่ยนจากเดิมที่ศูนย์กลางอำนาจอยู่กระทรวงศึกษา จะถูกกระจายมาที่ระดับจังหวัดอย่างแท้จริง
ประเด็นสำคัญข้อเท็จจริงในยุค คสช. ที่ให้มีศึกษาธิการจังหวัด มีแผนยุบยกเลิกเขตพื้นที่การศึกษาตามมาในภายหลังตั้งศึกษาธิการจังหวัดแล้ว แต่ท่าน พลเอก ดาว์พงษ์ รมว.ศึกษายุคนั้นได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี แผนนี้จึงหยุดชะงักทำไม่ทัน รมว.ศึกษาฯท่านใหม่ก็ไม่กล้าทำต่อ เลยก่อปัญหาแย่งชิงอำนาจบริหารบุคคลระหว่างเขตพื้นที่และศึกษาธิการจังหวัดมาต่อเนื่องจนเอาอำนาจกลับไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาแบบเดิม
ลองทบทวนความจริงที่ผ่านมาครับว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารการศึกษาทุกครั้งที่ผ่านมา ผลประโยชน์ไม่เคยตกอยู่กับนักเรียน หรือสังคม หรือผู้ปกครองเลย มีแต่ผู้อยู่ในตำแหน่งได้ประโยชน์ทั้งนั้น ถึงเวลาที่ต้องทบทวนแล้วว่าที่ผ่านมาคุณภาพการศึกษาของเด็กแย่ลงมีใครต้องรับผิดชอบหรือไม่ คำตอบคือไม่มีครับ ได้แต่อ้างข้อจำกัดต่างๆ หาเหตุปัดความรับผิดชอบทั้งสิ้น
การเปลี่ยนแปลงการบริหารการศึกษาที่จะเกิดในอนาคตต้องถามก่อนว่าเปลี่ยนแปลงแล้วนักเรียนได้ประโยชน์ สังคมได้ประโยชน์แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงข้ออ้างของผู้มีอำนาจอยู่ในตำแหน่ง เพื่อหาเหตุรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนเอง อ้างเพื่อคุณภาพผู้เรียนทั้งสิ้น แท้จริงเพียงต้องการมีตำแหน่งหรือรักษาสถานะของตนให้นานที่สุด คุณภาพการศึกษาของผู้เรียนเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องมีคนรับผิดชอบแบบที่ผ่านมาอย่างนั้นหรือ
การกระจายอำนาจการบริหารการศึกษาอย่างแท้จริง คือการถอยหลังลงคลองหรือการเดินหน้าสู่การเปลี่ยนแปลง แม้ชื่อเรียกศึกษาธิการแบบเดิม แต่บทบาท อำนาจหน้าที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม กระทรวงศึกษาฯจะไม่สามารถย้ายศึกษาธิการจังหวัดได้แบบอดีตเลย อำนาจการบริหารอยู่ที่จังหวัดอย่างแท้จริง
อยากถามว่าเป็นการถอยหลังลงคลอง หรือเดินหน้าหนีโคลนตม หากผู้บริหารยังมี Mindset แบบเดิมๆ ติดกับชื่อเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ ไม่ผิดครับแต่หลงยุคเท่านั้น และคงสิ้นหวังกับการเปลี่ยนแปลงที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนได้ครับ