ที่มา | คอลัมน์ ที่เห็นและเป็นไป มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
เผยแพร่ |
การพูดว่าจะขึ้นภาษีแวตอีกแค่เปอร์เซ็นต์เดียว เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐอีกปีละ 1 แสนกว่าล้านบาท จะทำให้การพัฒนาประเทศราบรื่นขึ้นของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ดูไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารอะไร เพราะภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์ที่ใช้กันอยู่ขณะนี้ รู้กันอยู่ว่าเป็นเรื่องของการยกเว้นที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
อัตราที่กำหนดไว้จริงคือร้อยละ 10 แต่ทุกรัฐบาลผัดผ่อนกันมา ไม่ยอมใช้อัตราเต็มเพื่อเอาใจประชาชน
เมื่อรัฐบาลชุดนี้มาจากรัฐประหาร มีความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจกับประชาชนมากกว่าจะเอาอกเอาใจเหมือนที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งจำเป็นต้องทำ จึงดูเหมือนไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องชะลอการใช้กฎหมายภาษีแวต
แต่ท่าทีในการพูดถึงเรื่องนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีออกไปในทางหยั่งเสียง หรือโยนหินถามทาง ทั้งที่เป็นการเพิ่มจากเดิมแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่เต็ม 10 ตามกฎหมาย
ทำให้ดูคล้ายกับว่า แม้จะมาจากรัฐประหาร แต่มีความรู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนัก
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่เชื่อมั่นในอำนาจ และดูแล้วยังมีประชาชนจำนวนมากที่ถึงอย่างไรก็ให้การสนับสนุน เพราะเชื่อมั่นว่าในยุคสมัยเช่นนี้ รัฐบาลเผด็จการทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งของประชาชน ที่มีแต่ความเหลาะแหละไม่กล้าตัดสินใจ
ว่าไปแล้วหากมองให้กว้างออกไปเรื่องนี้มีคำอธิบายอยู่เหมือนกันในเรื่องนี้
เรื่องน่าจะเป็นแบบว่าขณะที่ทั่วโลกกำลังเกิดความคิดว่า การเมืองการปกครองที่ผู้นำกล้าตัดสินใจ ใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำ มีผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเป้าหมาย มากกว่าจะกังวลแต่ประชาชนจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแล้วทำให้ประเทศเละเทะกำลังเป็นที่นิยม
สะท้อนจากการเลือกตั้งในหลายประเทศ ผู้นำซึ่งมีบุคลิกเด็ดขาดเป็นที่ชื่นชมได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนมากกว่า ที่ชัดเจนและกล่าวถึงกันมากคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการประกาศนโยบายแข็งกร้าว และพร้อมเผชิญหน้ากับคนไม่เห็นด้วย
กระแสชื่นชมผู้นำมาดเด็ดขาดเกิดขึ้นทั่วโลกเช่นนี้เองที่ทำให้คนไทยเราเชื่อว่ารัฐบาลเผด็จการเหมาะสมกับยุคสมัยแล้ว สอดคล้องเป็นไปตามกระแสโลก
แต่นั่นเป็นมุมมองที่ต้องชั่งใจกันว่าครบถ้วนในทุกมิติหรือไม่
โลกที่พัฒนาและยืนหยัดในประชาธิปไตยที่ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่มีอำนาจในการปกครองประเทศมายาวนาน กลไกและกติกาต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศวางไว้ในทางเอื้อกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ อันเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย
ดังนั้น ไม่ว่าผู้นำจะใช้อำนาจจัดการด้วยความเด็ดขาดแค่ไหน แต่ยังต้องอยู่ในกรอบของกติกาประชาธิปไตยอย่างว่า
จะเห็นได้ว่าคำสั่งของทรัมป์หลายเรื่องถูกคัดค้านจากกลไกอื่นที่คานอำนาจไว้ จนไม่มีผลทางปฏิบัติ
เหมือนกับในอีกหลายประเทศที่คะแนนนิยมของผู้นำมีสูงยิ่ง แต่ไม่สามารถทำทุกเรื่องได้
อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ ที่ผู้นำของไทยเราถึงจะมีอำนาจมากมายในระดับที่ออกกฎหมายได้เองด้วยมาตรา 44
แต่จะทำอะไรก็ยังต้องหยั่งเสียงประชาชน