พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : คนเดิม เวลาใหม่ ‘สภาวะ’ ย่อม แปรเปลี่ยน พึงปรับ ‘วิธีการ’

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : คนเดิม เวลาใหม่ ‘สภาวะ’

ข้อเสนออันมาจากซุยโหที่ว่า “ถ้าท่านฆ่าจงลิมวยเสียตัดเอาศีรษะไปถวายพระเจ้าฮั่นเต้ นั่นแหละข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าฮั่นเต้จะสิ้นความสงสัยท่าน”
เป็นข้อเสนอที่ “ทดสอบ” หานซิ่นอย่างแหลมคมและร้อนแรงยิ่ง
ทางหนึ่ง ข้อเสนออันพระเจ้าฮั่นเต้ส่งผ่านซุยโห “ก็ชอบอยู่แล้ว” แต่อีกทางหนึ่ง “จงลิมวยกับเราได้รักกันเป็นอันมาก ยังมิได้มีความโกรธแค้นกันเลย
เราจะฆ่าจงลิมวยอย่างไรได้”
นี่มิได้เป็นความขัดแย้งอย่างสามัญธรรมดา ตรงกันข้าม ทั้งเป็นความขัดแย้งที่ล่อแหลมเป็นอย่างสูงบ่งชี้ “อนาคต” ของหานซิ่นอย่างฉับพลันทันใด
คือ จะเลือกหนทาง “เจ้านาย” หรือจะเลือกหนทางให้กับ “เพื่อน”
ไม่ว่าจะมองผ่านท่าทีอันมาจากพระเจ้าฮั่นเต้ ไม่ว่าจะมองผ่านท่าทีอันมาจากซุยโหเหมือนกับจะเปิดหนทางให้หานซิ่นได้เลือก
ถามว่าหานซิ่นเลือกเดินไปบนหนทางใด

หานซิ่นเดินเข้าไปในสวนดอกไม้เล่าเนื้อความให้จงลิมวยฟังทุกประการ จงลิมวยจึงว่าแก่หานซิ่นว่า
“บัดนี้เนื้อความก็เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะทำประการใดแก่ข้าเล่า”
หานซิ่นจึงว่า “เราก็จะกระทำตามอาญากษัตริย์ ตัดเอาศีรษะท่านไปถวายแก่พระเจ้าฮั่นเต้ตามมีรับสั่งมานั้น”
จงลิมวยจึงว่า “ชีวิตเราอยู่ตราบใด พระเจ้าฮั่นเต้ก็หาทำอันตรายแก่ท่านไม่”
หานซิ่นได้ฟังจงลิมวยว่าดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่เป็นช้านาน ไม่ฆ่าจงลิมวยลงได้ ก็กลับออกมาจากสวนดอกไม้
เด่นชัดว่า “การข่าว” ของพระเจ้าฮั่นเต้ยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกัน ข้อเสนออันมาจากพระเจ้าฮั่นเต้ส่งผ่านซุยโหไปยังหานซิ่นก็ยอดเยี่ยม ดำเนินไปอย่างรวบรัด
เพียงแต่หานซิ่นเชื่อจงลิมวย เชื่อความเชื่อของตนมากกว่า

ฝ่ายซุยโหคอยฟังหานซิ่นอยู่ถึง 5 วันก็มิได้ยินหานซิ่นพูดจาด้วยเนื้อความจงลิมวยประการใดไม่ ซุยโหก็ลาหานซิ่นไป ณ เมืองลิวจิ๋ว
แล้วเขียนหนังสือลับลอบให้คนถือมาทูลแก่พระเจ้าฮั่นเต้ทุกประการ
พระเจ้าฮั่นเต้ได้แจ้งดังนั้นก็โกรธหานซิ่นนัก จึงมีผู้เอาเนื้อความมากราบทูลพระเจ้าฮั่นเต้กล่าวโทษหานซิ่น
เป็นเนื้อความ 3 ข้อ
ข้อหนึ่ง ว่าหานซิ่นเบียดเบียนอาณาประชาราษฎร์ เอาศพบิดา มารดา ไปฝังไว้ที่นาราษฎร
ข้อสอง ว่าหานซิ่นตั้งซ้อม หัดม้าแลคนอยู่มิได้ขาด ตรวจเตรียมทแกล้วทหารไว้เป็นอันมาก
ข้อสาม ว่าหานซิ่นซ่อนจงลิมวยไว้นานแล้วหาเอาเนื้อความเข้ามากราบทูลให้ทราบไม่
ซึ่งหานซิ่นกระทำการครั้งนี้ละเมิดพระราชอาชญานัก
เห็นหานซิ่นจะคิดการใหญ่อยู่ ขอให้ไต้อ๋องเร่งดำริการกำจัดหานซิ่นเสียโดยเร็วเถิด

พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังดังนั้นจึงให้ตันแผงแลขุนนางทั้งปวงเข้าไปปรึกษาว่า “หานซิ่นถือตัวว่ากระทำความชอบไว้มาก มีน้ำใจกำเริบ
จะขอไปอยู่เมืองเจ๋เพราะหมายจะคิดการใหญ่
ครั้นเราขืนให้ไปอยู่เมืองฌ้อก็หาเต็มใจไปไม่ บัดนี้ซ่อนจงลิมวยไว้ เราเห็นว่าหานซิ่นจะคิดขบถเป็นมั่นคง”
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าฮั่นเต้ว่าดังนั้นต่างคนก็รับอาสาจะไปจับตัวหานซิ่น
ตันแผงจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า “อันหานซิ่นนั้นไม่เหมือนทหารทั้งปวงซึ่งท่านจะหมายสู้รบด้วยกำลังแลฝีมือ เราเห็นว่าหาได้ตัวหานซิ่นไม่
ข้อหนึ่ง หานซิ่นก็มีรี้พลมาก ถ้าจะเอาเมืองฌ้อประสมเข้าอีกก็จะได้คนหลายสิบหมื่น ถ้าหานซิ่นเป็นขบถขึ้นจริงแล้วที่ไหนท่านทั้งปวงจะเข้าต่อต้านได้ เราเห็นจะยิ่งกว่าศึกหลอก๋งอีก
เป็นหลอก๋งนั้นมีแต่ฝีมือกับกำลังมาก อันจะสู้หานซิ่นซึ่งมีสติปัญญาไม่ได้
ทหารทั้งปวงถ้ายกไปตีหานซิ่นแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ถึงรบพุ่งก็จะพากันแตกยับเยินมาเอง”
เท่ากับเป็นการเตือน เท่ากับเป็นการรั้งบังเหียนม้ามิให้เตลิด

พระเจ้าฮั่นเต้ได้ฟังตันแผงว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่า “ท่านกล่าวทั้งนี้ก็ชอบอยู่ เราจะคิดประการใดจึงจะจับหานซิ่นได้เล่า”
ตันแผงจึงทูลว่า
“ข้าพเจ้าคิดกลอุบายไว้ได้อย่างหนึ่งเห็นจะจับตัวหานซิ่นได้โดยสะดวก ไม่ต้องยกพลไปรบพุ่งเลย ถึงหานซิ่นจะมีสติปัญญาก็เห็นหาทันรู้ตัวไม่”
พระเจ้าฮั่นเต้จึงถามว่า “อุบายของท่านเป็นประการใด”
ตันแผงจึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ยินคำโบราณว่ามา อันประเพณีกษัตริย์แต่ก่อนย่อมเสด็จไปเลียบเมืองทั้งสี่ฤดูจะได้เห็นภูมิฐานบ้านเมืองว่าอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงจะทำมาหากินเป็นสุขอยู่หรือประการใด
ทุกวันนี้ไต้อ๋องเป็นเจ้าแผ่นดินแล้วก็ยังมิได้เสด็จไปเลียบเมืองเลย
ข้าพเจ้าคิดว่าเชิญเสด็จไปเลียบเมืองตามประเพณีกษัตริย์ จึงให้มีหนังสือประกาศไปทุกหัวเมืองทั้งปวงให้เจ้าเมืองมาคอยรับเสด็จอยู่ ณ เมืองตั้งซ่ายพร้อมกัน
หานซิ่นก็จะออกมาคอยรับเสด็จ
จึงจัดทหารออกไปคอยจับตัวหานซิ่นในขณะนั้นก็เห็นจะได้โดยง่าย”

ADVERTISMENT

น่าสังเกตว่าสถานการณ์ของหานซิ่นครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างพระเจ้าฮั่นเต้กับหานซิ่น
โดยไม่มี “จางเหลียง” โดยไม่มี “เซียวเหอ”
บทบาทที่จางเหลียงและเซียวเหอเคยดำรงอยู่ในสถานะเหมือนกับเป็น “คนกลาง” หรือเป็น “สะพานเชื่อม” หายไป
หากประเมินจาก “ข้อเสนอ” ตันแผงเล่นอีกบทบาทหนึ่ง
เป็นบทบาทที่แทบไม่แตกต่างไปจากซุยโห นั่นก็คือเป็นการสนอง “นโยบาย” เป็นการปฏิบัติตาม “คำสั่ง” อย่างเคร่งครัด
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงไปจากบทบาทจางเหลียง บทบาทเซียวเหอ
ไม่ว่าจะเป็นจางเหลียงเมื่อแรกที่พบชื่อหานซิ่นพร้อมกับจดหมายเสนอตัว ไม่ว่าจะเป็นเซียวเหอในฐานะมือไม้เมื่ออยู่โปต๋ง
ถือได้ว่าเป็นยุคที่หานซิ่นอยู่ในห้วงขาลง

เมื่อพิจารณาและประเมินสถานการณ์ที่รายล้อมเข้ามารุมอยู่โดยรอบตัวหานซิ่นถือว่าอยู่ในสถานะ “ตั้งรับ”
ทั้งทาง “การทหาร” ทั้งทาง “การเมือง”
ขณะเดียวกัน ที่แสดงบทบาทเป็นเหมือน “ที่ปรึกษา”ให้กับพระเจ้าฮั่นเต้มิได้เป็นจางเหลียง หากเป็นตันแผง
ทั้งเซียวเหอก็ไปมีบทบาทใหม่ห่างพระเนตรพระกรรณ
ที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ สถานะของพระเจ้าฮั่นเต้แตกต่างไปจากสถานะของฮั่นอ๋อง และแตกต่างอย่างยิ่งกับสถานะของเล่าปัง
ดำรงอยู่อย่างเป็น “เจ้าชีวิต” ผ่านพ้นยุคแห่งการสะสมกำลัง
อย่าแปลกใจพลันที่หานซิ่นถูกเพ่งเล็งจากสถานการณ์ของ “จงลิมวย” ก็มีเรื่องราวต่างๆ ไหลเข้าไปเต็มทั้งราชสำนัก
มีคนจำนวนมากง้างตีนรอกระทืบโดยพร้อมเพรียง

แฟนานุแฟนของพระเจ้าฮั่นเต้ก็มองและมีบทสรุปต่อหานซิ่นอย่างหนึ่ง แฟนานุแฟนของหานซิ่นก็มีบทสรุปอีกอย่างหนึ่ง
ความแหลมของ “สถานการณ์” ยังน่าศึกษา
พระเจ้าฮั่นเต้สามารถใช้ “อำนาจ” เพื่อจัดการกับหานซิ่นได้อย่างเต็มเปี่ยม เพียงกรณีของจงลิมวยก็มีความชอบธรรมอย่างยิ่ง
เพียงแต่ใช้ “กลยุทธ์” เพียงแต่ใช้ “กระบวนการ” อย่างยอกย้อน