ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
เบื้องหน้าของเธอคือปากกระบอกปืน
แต่เบื้องหลังนั้นมี ‘ประชาชน’
ภาพและคลิปวิดีโอที่ อัน กวี รยอง ส.ส.หญิงของพรรคฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ พยายามจับปากกระบอกปืนเพื่อแย่งอาวุธนั้นจากทหารนายหนึ่งที่ยืนเฝ้ารัฐสภาไว้ไม่ให้ ส.ส.เข้าไปลงมติในเหตุการณ์ที่ ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ประกาศกฎอัยการศึก จะต้องกลายเป็นภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่ทรงพลังที่สุดของยุคสมัยอีกภาพหนึ่งในอนาคต
ด้วยสิ่งที่เธอพยายามจะยื้อแย่งกลับมา คือ “ประชาธิปไตย” และ “ความเป็นนิติรัฐ” ของประเทศ ในฐานะของ “ผู้แทนราษฎร” ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
การประกาศใช้กฎอัยการศึกคือรูปแบบการใช้อำนาจพิเศษในยามเกิดศึกสงครามตามชื่อ ในช่วงบังคับแห่งกฎอัยการศึกจึงยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายในรูปแบบปกติทั้งปวง หลักนิติรัฐจะลดลง สิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะถูกจำกัดจนเกือบไม่มีเหลือ โดยผู้ที่จะมีอำนาจในการบังคับตามกฎอัยการศึกคือกองทัพอาจเป็นเรื่องอันเข้าใจได้ในยามเกิดศึกสงครามหรือสภาวะฉุกเฉิน แต่เพราะอำนาจพิเศษในภาวะเช่นนี้เอง ทำให้การประกาศกฎอัยการศึกนั้นมักจะเป็นขั้นตอนแรกของการทำ “รัฐประหาร” เช่นในประเทศไทยที่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ก่อนที่เขาและคณะจะทำรัฐประหารในอีกสองวันหลังจากนั้น
ดังนั้นการประกาศใช้กฎอัยการศึกอีกครั้งในรอบ 45 ปี นับแต่การประกาศครั้งก่อนหน้าในปี 1979 หลังการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีพัค จองฮี จึงถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยผิดปกติและไม่มีเหตุผลอันสมควรซึ่งเชื่อว่ามาจากความเพลี่ยงพล้ำในทางการเมืองของประธานาธิบดียุน ซอกยอล เพียงข้ออ้างเรื่องการแทรกแซงจากเกาหลีเหนือซึ่งดูไม่มีมูลเอาเสียเลยนั้น จึงเป็นเรื่องน่าหวั่นเกรงที่อาจหมายถึงการทำ “รัฐประหาร” ในความหมายอย่างกว้าง นั่นคือการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ฝ่าฝืนหลักแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นรูปแบบของการ “รัฐประหารกระชับอำนาจ” ที่รวบยึดอำนาจรัฐอื่นๆ มาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและกติกาแห่งการเมืองการปกครอง ในประเทศไทยก็เคยมีการรัฐประหารในรูปแบบนี้ในยุค 2510-2520 ที่เมื่อหัวหน้าคณะรัฐประหารทำท่าจะพ่ายเกมการเมืองไม่ว่าจะฝ่ายใด ก็จะทำ “รัฐประหารตัวเอง” เพื่อกระชับอำนาจนั้น เช่นกรณีของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2514 หลังจากไม่สามารถควบคุมการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรได้
เหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีเกาหลีใต้จบลงเมื่อ ส.ส.จำนวนหนึ่งสามารถฝ่าแนวทหารเข้าไปในตัวรัฐสภาได้ และเปิดประชุมด่วนลงมติให้ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีได้ด้วยมติเอกฉันท์ของ ส.ส.ที่ฝ่าเข้าไปลงมติได้ 190-0 ซึ่งในจำนวนนี้มีแม้แต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลของประธานาธิบดียุนเองด้วย การรัฐประหารที่น่าตระหนกจึงจบลงได้โดยสงบและสันติภายในเวลาราว 4 ชั่วโมง
ส่วนสำคัญที่ต้องให้เครดิตคือระบบรัฐธรรมนูญและกฎหมายของเกาหลีใต้ที่เกิดขึ้นจากปฏิรูปการเมืองภายใต้บทเรียนของการต่อสู้กับระบอบเผด็จการทหารมาอย่างยาวนาน การประกาศกฎอัยการศึกที่อาจนับได้ว่าเป็นส่วนควบของการประกาศสงครามซึ่งแม้จะเป็นอำนาจของประธานาธิบดีที่ประชาชนเลือกมาเช่นกันก็ตาม แต่ก็ต้องได้รับการตรวจสอบจากรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชนในอีกทางหนึ่ง และแม้ว่ากฎอัยการศึกจะมีอำนาจมากมายมหาศาลในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ข้อจำกัดอันสำคัญที่สุดคือแม้จะอยู่ในระหว่างการประกาศกฎอัยการศึก แต่ก็ห้ามจับกุมตัว ส.ส.ซึ่งเป็น “ผู้แทนราษฎร” เพื่อขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ด้วย
ถึงกระนั้นไม่ว่ารัฐธรรมนูญหรือกฎหมายจะเขียนไว้อย่างไร ถ้าในที่สุด ผู้ถือครอง “อำนาจตามความเป็นจริง” ไม่ได้เคารพ ต่อให้มีรัฐธรรมนูญหรือกติกาบัญญัติรัดกุมอย่างไรก็ย่อมไร้ประโยชน์ เช่นแม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดว่าห้ามจับกุมตัว ส.ส. แต่ถ้าผู้มีอำนาจตามกฎอัยการศึกนั้นจะจับแล้วจะมีอะไร ใครจะดำเนินคดีได้เพราะอำนาจในกระบวนยุติธรรมต่างๆ ก็เป็นอำนาจเชิงสมมุติที่มาจากการยอมรับ และแน่นอนว่าแม้แต่รัฐธรรมนูญก็ฉีกทิ้งได้ ซึ่งเรื่องนี้ประชาชนชาวไทยเราคงซาบซึ้งกันดี
เพราะปัจจัยจากสิ่งที่ทรงพลังอย่างแท้จริงต่างหากที่ทำให้ทหารที่ไปปิดล้อมรัฐสภานั้นเกรงกลัวเกรงใจไม่กล้าทำอะไรที่รุนแรงกับตัว ส.ส.หญิงที่ไปแย่งปืน และ ส.ส.ทั้งหลายที่ปีนรั้วหรือฝ่าแนวป้องกันเข้าไปเพื่อประชุมสภา มันไม่ใช่ความเกรงกลัวต่อตัวตนของ ส.ส. คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเพราะกลัว “ประชาชน” ที่อยู่เบื้องหลัง ส.ส.เหล่านั้น
“ประชาชน” ทั้งในเชิงนามธรรมที่ว่า ส.ส. คือ “ผู้แทนราษฎร” และที่เป็นรูปธรรม คือ ประชาชนจำนวนมากที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ส.ส.ทั้งหลาย ประชาชนที่ไปชุมนุมรอบรัฐสภา และประชาชนอีกมากมายที่กำลังเริ่มหลั่งไหลออกมาเต็มท้องถนน หลังจากการประกาศกฎอัยการศึกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญของประธานาธิบดี
คำถามสำหรับประเทศที่ยังคงต้องวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งการรัฐประหารอย่างประเทศไทยที่ทุกคนต่างก็รู้สึกหรือกล่าวถึงเมื่อเห็นอุทาหรณ์ของเกาหลีใต้คือ แล้วเมื่อไรเราจะไปถึงจุดนั้นได้ เมื่อไรเราจะมีทหารที่รู้หน้าที่เคารพกฎหมาย และนักการเมืองที่กล้าหาญอย่าง อัน กวี รยอง ของประเทศเราจะมีบ้างไหม
ภาพที่เกาหลีใต้นั้นแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าไม่ว่าอย่างไร “ประชาชน” นั่นแหละคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง แม้ผู้มีอำนาจควบคุมกองทัพหรือกลไกรัฐบาลได้จะมีที่มาจากกองกำลัง อาวุธ และกฎหมาย แต่เพียงเท่านั้นก็ไม่เพียงพอเพราะถ้าประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านอย่างหนัก ในระดับที่กระสุนกี่นัดก็อาจจะใช้ได้ไม่พอ หรือระดับที่ประชาชนไม่เชื่อฟังบังคับแห่งกฎหมาย ไม่ทำหน้าที่หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในที่สุดสถาบันการเมืองและกลไกแห่งอำนาจสั่นคลอนพวกเขาก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
แม้แต่กระทั่งประเทศเผด็จการเต็มขั้นอย่างที่เรานึกภาพกันออกอย่างเกาหลีเหนือศัตรูถาวรของเกาหลีใต้ที่ในตอนนี้ อาจดูราวกับว่าอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของท่านผู้นำจะมาจากกองทัพและกำลังอาวุธ แต่ก่อนจะมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาก็ต้องใช้กระบวนการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนักจนปลูกฝังความเชื่อให้แก่ประชาชนในประเทศตลอดจนกำลังพลในกองทัพให้ยอมรับในอำนาจของท่านผู้นำและผู้สืบทอดจนไม่มีใครคิดจะต่อต้าน หรือคิดว่าอาจจะต่อต้านได้
เช่นเดียวกับที่ปัจจัยแห่งความสำเร็จอันแท้จริงของการทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าของไทยก็ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากเป็นเพราะ “ประชาชน” ส่วนหนึ่งที่มีนัยสำคัญไปให้การสนับสนุนหรือเห็นด้วย เช่นการรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 หรืออย่างน้อยก็ไม่ต่อต้านชัดเจนเช่นในการรัฐประหารหลายครั้งก่อนหน้า
ผู้ที่ประสงค์จะยึดครองอำนาจตามความเป็นจริงนั้นรู้ดีว่าลำพังเพียงกำลังอำนาจจากกำลังและอาวุธของกองทัพนั้นก็ไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องอาศัยความเห็นชอบหรือยินยอมจากประชาชนส่วนหนึ่งที่มีนัยสำคัญ ก่อนการรัฐประหารสองครั้งหลังจึงลุล่วงไปได้เพราะอาศัยความร่วมมือประชาชนขวาจัดอำนาจนิยมที่หูเบาเขลาง่าวเพียงพอที่จะออกมาสนับสนุนรัฐประหาร เช่นภาพงามหน้าไปทั่วโลกที่ประชาชนในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ออกมามอบช่อดอกไม้ให้คณะรัฐประหาร รวมไปถึงออกมาลดทอนต่อต้านพลังของประชาชนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยไม่เอาด้วยกับการรัฐประหารให้อ่อนกำลังลงไป
ใครที่อยู่ในเหตุการณ์หรือความจำยังไม่สั้นเกินไปคงจำได้ว่าในตอนรัฐประหารปี พ.ศ.2557 เอง ก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งพยายามออกมาต่อต้านรัฐประหาร ออกมาจุดเทียนเรียกร้องประชาธิปไตยกันที่สกายวอล์ก ท่ามกลางการหมิ่นหยามต่อต้านของฝ่ายสลิ่มที่เรียกร้องการรัฐประหาร
จากนั้น แม้จะยึดครองอำนาจไปได้จนเป็นฝ่ายที่มีอำนาจตามความเป็นจริงแล้วก็ตาม แต่หากเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มไม่เอาด้วยหรือไม่ให้ความยินยอมต่อการถือครองหรือสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ต่อให้พวกเขาได้ถือครองอำนาจไว้ได้แต่ก็ยังอาจจะ “อยู่ไม่ได้” เช่น ในเหตุการณ์ 14 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ ที่ในที่สุดไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว แม้จะมีอำนาจตามความเป็นจริงแต่ขาดความชอบธรรมก็ต้องยอมถอยหรือหลบไปและคืนอำนาจให้ประชาชน ก่อนที่จะหาโอกาสมาแย่งคืนกลับไปใหม่ในยามที่ “ประชาชน” ทั้งหลายอ่อนแอลง
ลำพังนักการเมือง ส.ส.ที่เป็น “ผู้แทน” ของประชาชนนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ถือครองอำนาจตามความเป็นจริงนั้นเกรงใจหรือเกรงกลัวอะไรขนาดนั้น ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือในครั้งที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้งเข้ามา จัดตั้งรัฐบาลได้ และมีความชอบธรรมโดยสมบูรณ์ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ถูกปฏิเสธง่ายๆ จาก ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของผู้ทำรัฐประหารที่หมายจะสืบทอดอำนาจแบบไม่มีลุ้นอะไรเลยด้วยซ้ำ รวมถึงเห็นได้จากที่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด ก็ถูกยุบไปได้แทบไม่ต้องนับ ล่าสุดก็คือพรรคก้าวไกลนั่นแหละ
ในความรู้สึกคับแค้นว่าทำไมพวกเขาช่างไม่เห็นหัวประชาชนเอาเสียเลย หากจะให้คำตอบกันตามตรงก็คือเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เห็น “หัว” ของประชาชนจริงๆ ที่แสดงตัวออกมาเป็นรูปธรรมใดๆ นอกจากผลการเลือกตั้งที่เอาเข้าจริงก็ไม่ต่างจากตัวเลขแต้มคะแนนบนกระดาษหรือหน้าจอ ที่แม้จะสะท้อนความต้องการและการตัดสินใจของประชนผ่านผลการเลือกตั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้มีพลังอำนาจใดในทางความเป็นจริง
หากตอนที่ พิธา ถูกเบี้ยวตำแหน่งนายกฯ ถูก ส.ว.ปัดตกไปเสียดื้อๆ หรือในตอนที่พรรคก้าวไกลจะถูกยุบ ถ้าตอนนั้นมีภาพของ “ประชาชน” ที่ออกไปแสดงตัวอย่างมีนัยสำคัญเพื่อแสดงพลังอำนาจของเจ้าของอำนาจที่แท้จริงอย่างเช่นเกาหลีใต้บ้าง สถานการณ์ก็อาจจะไม่ได้ยุติไปอย่างที่มันเป็นอยู่ในขณะนี้ก็ได้
จริงอยู่ว่าการที่ประชาชนออกไปต่อสู้กับผู้มีอาวุธเต็มมือนั้นคือความเสี่ยง เมื่อปะทะกันจริงๆ ประชาชนก็บาดเจ็บล้มตาย ที่ผ่านมาทหารและตำรวจไทยก็ไม่ได้ยั้งมือหรือออมใจที่จะไม่ใช้กำลังกับประชาชน แต่ถ้า “ราษฎรทั้งหลาย” ที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริงนั้นไม่แสดงตัวใดๆ ออกมาเสียเลย ผู้ที่ถือครองอำนาจอยู่ตามความเป็นจริงก็คงจะไม่กลัวหรือไม่เกรงใจ และการ “แสดงตัว” ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการไปลงถนนชุมนุมแต่เพียงอย่างเดียว อย่าลืมว่าในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ก็ไม่ได้มีการชุมนุมประท้วงอะไร เพียงแต่ประชาชนจำนวนมากร่วมใจกันแสดงสัญลักษณ์ริบบิ้นเขียวพร้อมกันทั้งเมือง ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายที่ต้องการขัดขวางรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนั้นเกรงใจจนต้องยอมให้รัฐธรรมนูญปี 2540 ออกมาใช้บังคับได้เช่นกัน
บางครั้งประชาชนในฐานะปัจเจกแต่ละคนก็อาจจะต้องทบทวนว่าเราอาจเรียกร้องเอาจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมืองให้แสดงความกล้าหาญต่อต้านอำนาจที่ครอบงำไม่ต้องไปเกรงใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราอาจจะหลงลืมไปว่าเราก็ยังไม่ได้เรียกร้องให้ตัวเองออกไปเสนอหน้าหนุนหลังเสริมแรงให้ “ผู้แทนราษฎร” ของเราเหมือนกัน
หากประเทศไทยยังโชคร้ายมีรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต เชื่อแน่ว่าบทเรียนจากเกาหลีใต้ ก็จะทำให้มี นักการเมือง ส.ส. และผู้แทนประชาชนจำนวนหนึ่งที่จะกล้าออกไปแสดงตัวยืนต่อหน้าผู้ถืออาวุธ ในตอนนั้นก็หวังว่าจะได้เห็นประชาชนที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะไปยืนเบื้องหลังผู้แทนของพวกเราเหมือนเช่นประชาชนชาวเกาหลีใต้ ให้ผู้มีอำนาจตามความเป็นจริงต้องขยาดหวาดกลัวเสียจนการรัฐประหารหรือความพยายามรวบยึดอำนาจโดยมิชอบนั้นไม่สัมฤทธิผลเสียบ้าง
กล้า สมุทวณิช