ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | นิมิตร จินาวัลย์ |
กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ที่อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจากอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นที่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการเสนอความเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางสื่อมวลชน ถึงขณะนี้คงจะมีข้อมูลอย่างครบถ้วนทุกรายมาตรา รวมถึงประเด็นที่สำคัญๆ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาปรับแก้ให้เสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งสุดท้ายและนำไปจัดทำประชามติต่อไป
ความยุ่งยากของการดำเนินการในครั้งนี้หาได้แตกต่างจากฉบับที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน แม้จะปรับเปลี่ยน เนื้อหาสาระโครงสร้างในหมวดต่างๆ และถ้อยคำให้กระชับ เพราะจะต้องพิจารณาตามกรอบที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด จึงผิดแผกไปจากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ยึดหลักการการตรากฎหมายรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่ได้ใช้บังคับกรณีใดกรณีหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
เนื้อหาที่สำคัญบางเรื่องคล้ายๆ กับจะเป็นส่วนเกินโดยเฉพาะยุทธศาสตร์การปฏิรูปในหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 61 ที่จะต้องจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติที่เป็นเป้าหมาย การพัฒนาของประเทศในระยะยาวถึง 20 ปี เฉพาะการปฏิรูปทางการเมืองด้านเดียวก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนไทยใน พ.ศ.นี้จึงตกอยู่ในวงล้อมของปัญหาทางการเมือง ซึ่งจะต้องจับมือกันร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับผล
มีความคิดสองแบบที่คนไทยจะต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความเป็นสากลกับความเป็นไทย หรือจะสร้างทางเลือกใหม่แบบผสมผสานกันอย่างกลมกลืนที่เรียกว่า ดุลยภาพหรือจุดสมดุลทางการเมือง (Equilibrium political)
ดุลยภาพหรือจุดสมดุลไม่ใช่เพียงอุปสงค์ อุปทาน ทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว อาจหมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีจุดสมดุลเสมอ จึงจะเกิดความเป็นธรรม
ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก็เช่นกัน เจตนารมณ์ของคณะผู้ร่างฯก็คงคิดหารูปแบบที่จะให้เกิดความพอดี และเป็นความกล้าหาญที่คนส่วนมากน่าจะมีความเห็นคล้อยตามเพราะแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทย ที่คิดและสร้างทางเลือกให้กับสังคม
ร่างรัฐธรรมนูญในหมวด 7 รัฐสภาที่กำลังถกเถียงทั้งระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่มาของนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้ง ส.ว.แบบกลุ่มอาชีพ รวมถึงศาล และองค์กรอิสระ ในรัฐธรรมนูญถือเป็นนวัตกรรมที่ผสมผสานภูมิปัญญาไทยกับความเห็นสากล หลายประการ
1.ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคการเมืองยังมีสิทธิที่จะได้รับเลือกตั้งเต็มจำนวน ตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมี พรรคการเมืองสามารถครองเสียงข้างมากและจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ถ้าหากได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
2.การนำคะแนนมารวมกันเพื่อหาสัดส่วนของพรรคการเมืองที่ควรจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นการให้ความเสมอภาค และสะท้อนเจตนารมณ์ของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมกัน สอดคล้องกับประชาธิปไตยสากล ที่ถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ก็เคารพในเสียงข้างน้อย เป็นการแก้ปัญหาการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาที่ผู้เลือกตั้งไปหย่อนบัตรให้กับผู้สมัครและพรรคที่เป็นสมาชิก แต่ไม่ได้รับเลือกตั้งเพราะยึดหลักการที่ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้ง (First Passes The Post) แต่คะแนนเสียงของผู้ที่ไม่ได้เลือกตั้งถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ถือเป็นการลิดรอนสิทธิอันพึงมีพึงได้ทำให้เกิดอคติในทางการเมือง และขัดกับหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชน
3.ที่มาของนายกรัฐมนตรี ก็เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองชอบที่จะเสนอบุคคลที่เห็นว่ามีความเหมาะสม จะเป็นสมาชิกพรรคหรือบุคคลภายนอกย่อมจะขึ้นอยู่กับความเห็นส่วนใหญ่ของสมาชิก ขึ้นอยู่กับดุลพินิจและพรรคจะต้องรับผิดชอบ ที่สำคัญคือประชาชนจะได้ทราบล่วงหน้าว่าแต่ละพรรคการเมืองจะเสนอใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี
4.การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาแบบกลุ่มอาชีพ โดยการเลือกแบบไขว้กลุ่มอาจจะเกิดปัญหาการทุจริตตามมา ถ้าหากไม่มีมาตรการลงโทษที่รุนแรง ควรเปลี่ยนมาใช้วิธีการเลือกในกลุ่มเดียวกันโดยมีเกณฑ์และตัวชี้วัดอย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัคร ทั้งประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงานประสบการณ์และความมุ่งมั่น มีผลงานที่เป็นจุดเด่นเชิงประจักษ์เป็นที่ปรากฏ ให้ผู้สมัครประเมินผู้สมัครอื่น ยกเว้นตัวเองแล้วนำคะแนนที่ได้ของแต่ละคนมารวมกันเพื่อจัดเรียงลำดับหาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด
5.ศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่บางฝ่ายมองว่ามีอำนาจเหนือองค์กรอื่น ควรจะวางใจเป็นกลาง เพราะทุกองค์กรก็มีอำนาจหน้าที่เฉพาะตามกฎหมาย เป็นระบบถ่วงดุลอำนาจ (check and balance) ฝ่ายบริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องดูแลให้การปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด (ม.49, 155, 156) ศาลมีอำนาจวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมาย (ม.205) จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าการมีอำนาจมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการบริหารที่โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย ศาลก็ไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปวินิจฉัยชี้ขาด
การเพิ่มอำนาจให้กับองค์กรอิสระ (ม.217) ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินทั้งสิ้น เป็นการเสริมสร้างสมรรถนะ เพื่อให้เกิดการประสานงานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ
เหตุผลดังกล่าวคณะผู้ยกร่างได้ยึดถือตามแนวทางระบอบประชาธิปไตย และบริบททางการเมืองไทยในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวทางการวิเคราะห์ของ Ebenstein นักวิชาการทฤษฎีรัฐศาสตร์คนสำคัญที่ให้ความเห็นว่า “ประชาธิปไตยในฐานะที่เป็นวิถีชีวิตที่มีลักษณะสำคัญ 8 ประการ 1 ในนั้นคือต้องยึดหลักประสบการณ์ที่สมเหตุสมผล (Rational Empisicism) คือประชาชนมีความเคารพเชื่อมั่นในเหตุผล และนำหลักเหตุผลนั้นไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งของวัตถุและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เชื่อว่าบรรยากาศความรู้ทั้งหลายได้มาจากประสบการณ์
ดังนั้นสัจจะจึงเป็นเพียงความจริงในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งอาจเปลี่ยนไปได้เมื่อมีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น หรือถูกพิสูจน์ให้เห็นเป็นอย่างอื่น คนที่นับถือเหตุผลที่มีพื้นฐานตามความเป็นจริงจึงยอมรับได้ง่ายว่า ความคิดเห็นของตนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์เสมอไป ถ้ามีใครวิจารณ์ความคิดเห็นของเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้วิจารณ์เป็นคนเลวทราม แต่เขาจะยินดีให้มีคนวิเคราะห์วิจารณ์เพื่อเขาจะได้ปรับปรุงความคิดเห็นของเขาให้ดียิ่งขึ้น เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่ยินดีให้คนพิสูจน์ทฤษฎีหรือสมมุติฐานของเขา
เมื่อใครมีข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดฝ่ายนั้นก็เป็นฝ่ายถูก ฝ่ายถูกก็มิได้ถือ ฝ่ายอื่นๆ เป็นศัตรูที่ต้องทำลายล้างไป ดังนั้น วิญญาณของนักประชาธิปไตยจึงต้องเป็นวิญญาณของผู้เคารพเหตุผลและความเป็นจริง..”
ยังมีเนื้อหาอื่นๆ ที่เห็นว่าคณะผู้ยกร่างควรจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกรอบในรายมาตรายกตัวอย่าง มาตรา 63 “รัฐพึง อุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และศาสนาอื่น ในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ปวงชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกดังกล่าว”
เนื้อหาดังกล่าวมีนัยเพียงอุปถัมภ์ ค้ำชูและคุ้มครองไม่ให้ถูกทำลายเพียงอย่างเดียว หลักการสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือ การนำหลักธรรมคำสอนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และลงมือทำให้รู้เห็นประจักษ์คือจะดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่นี้อย่างไร จะใช้ชีวิตที่มีอยู่แล้วนี้อย่างไร เพื่อให้เป็นชีวิตที่เป็นอยู่อย่างดีและเพื่อชีวิตข้างหน้า
ถ้ามีก็มั่นใจว่าจะสืบทอดต่อออกไปเป็นชีวิตที่งดงามด้วย ควบคู่ไปกับสาวกสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงวางระบบให้เป็นชุมชนอิสระ เป็นสังคมแห่งแม่พิมพ์ที่มุ่งประสงค์จะใช้เป็นแบบหล่อหลอมมนุษยชาติ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขัดเกลาตัวเอง จึงจะช่วยชักนำสิ่งที่ดีงามถูกต้องให้แก่สังคมส่วนใหญ่อย่างได้ผล
มีพุทธพจน์ตรัสไว้อย่างน่าคิด เช่น “ผู้ที่ตนมิได้ฝึก มิได้อบรม ยังไม่หายร้อนกิเลส จักฝึก จักอบรม จักทำให้คนอื่นหายร้อนกิเลส ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้”
แสดงให้เห็นอย่างยืดยาวนี้มีจุดประสงค์ที่อยากจะชี้ให้เห็นเรื่องสำคัญที่สมควรจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ คือการนำหลักธรรมคำสอนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่หลงงมงาย และสาวกสงฆ์จะต้องเคร่งครัดอยู่ในธรรมวินัยให้เกิดมีเป็นอย่างเป็นรูปธรรม
ครับ…น่าเสียดายในร่างรัฐธรรมนูญ ไม่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับพุทธศาสตร์การปฏิรูปที่เป็นรูปเป็นร่างให้เห็นบ้าง มีปรากฏเพียงเป็นหน้าที่ของรัฐในมาตรา 50 ต่อเนื่องไปถึงมาตรา 267, 268 และ 269 ที่เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นทั้งสาเหตุและผลเบื้องปลายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรารถนาอยากจะให้เกิดขึ้น อาจจะรวมดึงคนกลุ่มใหญ่ที่ที่ผ่านมาก็มีความปรารถนาเช่นเดียวกันคือ ปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง
ขออย่าให้เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงการจุดประกาย จึงสนับสนุนให้ผู้ที่รับผิดชอบแยกออกเป็นหมวดการปฏิรูปได้เห็นชัดเจนและจะติดตามดูว่า รัฐบาลต่อๆ ไปที่มาจากการเลือกตั้งจะรับช่วงสานต่ออย่างไร