ซีเรียคือผลพวงของซากเดนของจักรวรรดินิยมอังกฤษและฝรั่งเศส

ซีเรีย

ภูมิภาคตะวันออกกลาง คือเส้นทางเชื่อมระหว่างทวีป 3 ทวีป คือ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ดังนั้น จึงมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลายภาษาและหลายศาสนา อาศัยอยู่ในดินแดนตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ภูมิภาคตะวันออกกลางยังอุดมไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกประเทศในโลกนี้

เดิมทีภูมิภาคตะวันออกกลางนี้อยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักรวรรดิออตโตมาน ผู้เป็นชาวเติร์กได้ปกครองภูมิภาคตะวันออกกลางนี้ร่วม 500 ปี โดยแบ่งการปกครองเป็นเขตๆ ไป ซึ่งมักแบ่งตามที่ตั้งอยู่อาศัยของชนเผ่าที่มีเชื้อสาย ภาษา และศาสนาที่ใกล้เคียงกัน จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2457 ที่จักรวรรดิออตโตมานได้เข้าร่วมสงครามร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางอันมีเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี รบกับสัมพันธมิตร คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย

เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ทางอังกฤษจึงต้องการหาทางให้ได้รับความสนับสนุนทางการเงินและทางการเมืองจากชาวยิวทั้งที่เป็นชาวอังกฤษและชาวอเมริกันเพื่อสู้รบกับมหาอำนาจกลางและจักรวรรดิออตโตมาน ดังนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศ อาร์เธอร์ บัลโฟร์ ของอังกฤษ จึงส่งจดหมายเพื่อยื่นเสนออย่างลับๆ ชื่อว่า “ปฏิญญาบัลโฟร์” เพื่อขอความเห็นชอบจากชาวยิวชั้นนำในอังกฤษจำนวน 10 คน รวมทั้งลอร์ดรอธส์ไชด์ (Lord Rothschild) ทายาทของตระกูลนายธนาคารใหญ่ระดับระหว่างประเทศ ชาวยิว-อังกฤษ ผู้สนับสนุนขบวนการฟื้นชาติยิวไซออนนิสต์(Zionist) คนสำคัญยิ่งคนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2460

ปฏิญญาบัลโฟร์ (Balfour Declaration) มีเนื้อหาที่สำคัญคือ รัฐบาลอังกฤษที่เห็นชอบกับการที่จะสถาปนามาตุภูมิแห่งชาติสำหรับประชาชนชาวยิวแห่งหนึ่งขึ้นมาในดินแดนปาเลสไตน์ และรัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนอำนวยความสะดวกให้แก่การจัดตั้งประเทศของชาวยิวนี้อย่างเต็มที่

ADVERTISMENT

ในเวลาเดียวกันทางอังกฤษส่งเสริมให้ชาวอาหรับลุกฮือก่อกบฏต่อต้านผู้ปกครองชาวเติร์ก โดยหลอกผู้นำชาวอาหรับว่า ชาวอาหรับสามารถตั้งประเทศของพวกเขาเองได้บนดินแดนซึ่งจักรวรรดิออตโตมานของชาวเติร์ก หลังจากจักรวรรดิออตโตมานพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร

แต่ใน พ.ศ.2459 อังกฤษและฝรั่งเศสทำข้อตกลงลับ ไซค์ส-พิโกต์ (Sykes-Picot Agreement) ที่เป็นข้อตกลง ซึ่งทั้ง 2 จักรวรรดินิยมตกลงกันว่าจะเฉือนแบ่งดินแดนของจักรวรรดิออตโตมานในตะวันออกกลาง โดยฝรั่งเศสจะได้สิทธิในดินแดนที่ปัจจุบันคือซีเรียและเลบานอน ส่วนอังกฤษได้สิทธิในดินแดนที่ปัจจุบันคืออิรัก รวมถึงจอร์แดน และดินแดนทางใต้ของอิสราเอล/ปาเลสไตน์ ทั้งนี้ ดินแดนปาเลสไตน์ ถูกกำหนดให้เป็นเขตสากลภายใต้การควบคุมของอังกฤษ ดังนั้น ข้อตกลงลับไซค์ส-พิโกต์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดระเบียบภูมิภาคตะวันออกกลางตามผลประโยชน์ของอังกฤษกับฝรั่งเศสเท่านั้น แทนที่จะยึดตามความต้องการของประชากรในพื้นที่ ผลของมันนำไปสู่ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกที่ยังคงส่งผลมาถึงปัจจุบัน เพราะจากการที่อังกฤษประกาศปฏิญญาบัลโฟร์ขึ้นกับผู้ทรงอิทธิพลชาวยิว ทำให้ชาวยิวเริ่มอพยพเข้าสู่ปาเลสไตน์มากขึ้นในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษตามข้อตกลงมอบอำนาจจากองค์การสันนิบาตชาติ อันส่งผลกระทบให้ชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์รู้สึกว่าคำประกาศนี้ละเลยสิทธิของพวกเขานำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับ ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่ลุกลามในภายหลังเมื่อมีการจัดตั้งรัฐอิสราเอลใน พ.ศ.2491 หลังจากที่สหประชาชาติลงมติแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ใน พ.ศ.2490 ทำให้เกิดสงครามไม่หยุดไม่หย่อนระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับในตะวันออกกลางจนทุกวันนี้

ADVERTISMENT

สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางมีเนื้อที่ประมาณ 185,180 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 17,951,639 คน โดยมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับซุนนี่ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรใหญ่ที่สุด คือประมาณ 67% ของชาวซีเรียทั้งหมดในปัจจุบัน มีชาวอาหรับอลาวีห์ (สาขาหนึ่งของนิกายชีอะห์) มีประมาณ 11% ชาวอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์มีประมาณ 11% ชาวอาหรับดรูซ (สาขาหนึ่งของนิกายชีอะห์) มีประมาณ 3% ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้แก่ ชาวเคิร์ด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือมีถึง 7% ที่เหลือก็คือชาวอาร์มีเนีย อัสซีเรีย และเติร์ก

ประเทศซีเรียสมัยใหม่สถาปนาขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเป็นอาณาเขตในอาณัติของฝรั่งเศส และเป็นรัฐอาหรับใหญ่ที่สุดที่กำเนิดขึ้นจากแคว้นเลแวนต์อาหรับที่เดิมเป็นของจักรวรรดิออตโตมาน โดยฝรั่งเศสใช้วิธีการปกครองซีเรียตามแบบจักรวรรดินิยมคือ “แบ่งแยกและปกครอง” โดยส่งเสริมให้พวกอลาวีห์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยมาช่วยในการปกครองอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าชาวซีเรียกลุ่มอื่นๆ แม้แต่ชาวอาหรับซุนนี่ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรใหญ่ที่สุดคือประมาณ 67% ของชาวซีเรียทั้งหมด

ประเทศซีเรียได้รับเอกราชในเดือนเมษายน พ.ศ.2489 เป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภา สมัยหลังได้รับเอกราชก็มีความจลาจลวุ่นวาย มีกลุ่มต่างๆ พยายามที่จะทำรัฐประหารอยู่เนืองๆ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ในช่วง พ.ศ.2492 ถึง พ.ศ.2514

ในระหว่าง พ.ศ.2501 ถึง พ.ศ.2504 ประเทศซีเรียเข้าร่วมสหภาพช่วงสั้นๆ กับอียิปต์ ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยรัฐประหาร โดยคณะรัฐประหารได้ประกาศให้ประเทศซีเรียอยู่ภายใต้กฎหมายฉุกเฉินตลอดช่วง พ.ศ.2506 ถึง พ.ศ.2554 ซึ่งก็คือปกครองแบบเผด็จการนั่นเอง โดยมี นายฮาเฟซ อัสซาด อดีตนายทหารอากาศของกองทัพซีเรีย (ผู้เป็นพวกอลาวีห์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่คือพวกซุนนี่) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคือผู้เผด็จการสูงสุดระหว่าง พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2543 เมื่อเขาเสียชีวิตลง นายบาชาร์ อัสซาด บุตรชาย ก็ได้เป็นประธานาธิบดีผู้เผด็จการสืบทอดจากบิดาตั้งแต่ พ.ศ.2543 จนชาวซีเรียส่วนใหญ่สุดทนที่จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการถึง 46 ปีอันยาวนาน ใน พ.ศ.2554 จึงลุกฮือขึ้นก่อสงครามกลางเมืองเพื่อกำจัดระบอบเผด็จการเสียให้สิ้นซาก แต่กำลังทหารและระบบราชการของซีเรียทั้งหมดอยู่ในกำมือของพวกอลาวีห์อย่างมั่นคงแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลซีเรียได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิค การเงิน การทหารและการเมือง จากประเทศรัสเซีย อิหร่าน และอิรัก (2 ประเทศหลังมีรัฐบาลเป็นพวกชีอะห์เหมือนกัน) มาตั้งแต่เริ่มต้นสงครามกลางเมืองแล้ว

ใน พ.ศ.2556 ทหารอาสาของฮิซบอลเลาะห์ (ชีอะห์) จากเลบานอนที่อิหร่านเป็นสปอนเซอร์ได้เข้าร่วมสงครามโดยสนับสนุนกองทัพซีเรียของนายบาชาร์ อัสซาด นอกจากนี้ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2558 ประเทศรัสเซียเริ่มการปฏิบัติการโจมตีฝ่ายกบฏ โดยใช้กำลังทัพทางอากาศของตนตามคำขอของรัฐบาลซีเรีย จึงเกิดสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ซึ่งความจริงมีประเทศต่างๆ นับสิบประเทศเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามกลางเมืองซีเรียโดยตรงเลยทีเดียว เนื่องจากสงครามกลางเมืองของซีเรียในครั้งนี้มีหลายประเทศได้เข้ามาถือหางทั้งทางฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ ความขัดแย้งนี้จึงถูกเรียกว่าเป็น “สงครามตัวแทน” ระหว่างประเทศที่มีชาวมุสลิมซุนนี่และประเทศที่มีมุสลิมชีอะห์ในภูมิภาคตะวันออกกลางหลายประเทศ จนกระทั่งต้องพ่ายแพ้ต่อกองกำลังชาวอาหรับซุนนี่หัวรุนแรงภายใต้การสนับสนุนของตุรกี สามารถบุกเข้ายึดเมืองหลวงดามัสกัสได้สำเร็จทำให้นายบาชาร์ อัสซาด ต้องหนีไปลี้ภัยอยู่ที่รัสเซียเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567

แต่สันติภาพในซีเรียก็ยังดูเลือนราง เพราะผู้เล่นในเวทีมีนับ 10 ฝ่าย โดยเฉพาะอิสราเอลที่อังกฤษสร้างขึ้นจาก “ปฏิญญาบัลโฟร์” และกลุ่มอลาวีห์ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นจากผลพวงของข้อตกลงไซค์ส-พิโกต์นั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image