ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของ Thailand 4.0 ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็น โครงการ หรือแผนอะไร ก็ต้องติดธง 4.0 ไปด้วย เช่น จังหวัด 4.0 หรือท่องเที่ยว 4.0 เพื่อเปิดทางด่วนด้านการของบประมาณ มหาวิทยาลัยก็เช่นเดียวกันก็ต้องเริ่มคิดว่ามหาวิทยาลัย 4.0 จะเป็นอย่างไร
ผู้เขียนลองคิดดูเล่นๆ ว่ามหาวิทยาลัยในเวอร์ชั่น 1.0 ถึง 1.3 เป็นอย่างไร (โดยไม่มีหลักฐานงานวิจัย) มหาวิทยาลัย 1.0 ในอดีตน่าจะเป็นแหล่งความรู้ที่มีโยคีขี่รุ้งหรือพระฤๅษีที่มีลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าชายต้องขวนขวายไปขอความรู้จากพระอาจารย์ ซึ่งกระจัดกระจายกันตามแหล่งความรู้ แต่พอมาถึงยุคมหาวิทยาลัย 2.0 ก็เริ่มเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทั่วไปเมื่อประมาณ 1,000 ปีที่ผ่านมาเช่น มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย มหาวิทยาลัยมุสลิม Karueein ที่โมร็อกโกซึ่งตั้งขึ้นในปี ค.ศ.859 มหาวิทยาลัยโบโลญญาในอิตาลี ที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1088 ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
มหาวิทยาลัย 3.0 เป็นมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนเป็นหลักสูตร มีอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน แต่ทั้งมหาวิทยาลัย 2.0 และ 3.0 จะเอาอาจารย์เป็นศูนย์กลางความรู้ ต่อมามหาวิทยาลัย 3.1 เป็น version ที่เป็นมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน ซึ่งประกาศเอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (ซึ่งยังไม่ค่อยเห็นความสำเร็จ) มหาวิทยาลัย 3.2 เป็นเวอร์ชั่นที่พยายามนำเอา IT เข้ามาเกี่ยวเช่น อาจารย์ทุกคนต้อง post เอกสารการสอนบนเว็บไซต์ และติดต่อกับนักศึกษาผ่านเว็บไซต์
และมหาวิทยาลัยที่มีระบบอินเตอร์เน็ตเริ่มปรากฏในการจัดลำดับโลก
แต่มหาวิทยาลัย 4.0 จะต้องก้าวไกลไปกว่านี้มากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้บุคลากรของมหาวิทยาลัยซึ่งประเทศไทยใช้เปลืองมาก จำได้ว่าเมื่อผู้เขียนเรียนอยู่ต่างประเทศ (40 ปีมาแล้ว) อัตราส่วนอาจารย์กับพนักงานอยู่ที่ 4:1 แต่ในมหาวิทยาลัยไทยอยู่ที่ประมาณ 1:1 ดังนั้น จึงขอเริ่มต้นพรรณนาจินตนาการของผู้เขียนเรื่องมหาวิทยาลัย 4.0 ที่การบริหารจัดการก่อน
มหาวิทยาลัย 4.0 จะไม่มีบุคลากรสนับสนุนจำนวนมากอย่างเช่นปัจจุบัน แม้แต่ข้อมูลการเงินและทะเบียนประวัตินักศึกษาก็จะอยู่กับบริษัท Cloud Computing นักศึกษาลงทะเบียนและจ่ายเงินผ่านมือถือ รวมทั้งออกใบเสร็จรับเงินผ่านมือถือ หากนักศึกษาเป็นผู้รับทุนก็จะมีการตัดค่าใช้จ่ายในระบบได้เช่นกัน การจ่ายเงินต่างๆ ต้องผ่านระบบการเงินออนไลน์ ระบบบัญชีมหาวิทยาลัยจะเป็นระบบออนไลน์และอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามการพยากรณ์ของบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศว่า วิชาชีพที่จะตกงานมากจะมาจากสายบัญชี
มหาวิทยาลัย 4.0 จะรู้ในระดับ real time ว่าสถานภาพทางการเงินอยู่ในระดับใด ระบบ E-registration จะจัดการออกใบรับลงทะเบียนรวมทั้งลงทะเบียนรายวิชา การสอบปรนัยจะทำผ่านระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรวมคะแนนและผลการสอบก็จะสามารถแจ้งนักศึกษาผ่านมือถือและนักศึกษาสามารถประเมินความพึงพอใจในการสอนของอาจารย์ทุกครั้งหรือเมื่อจบการเรียนการสอนผ่านมือถือ
ข้อดีก็คือ ว่าจะไม่มีปรากฏการณ์ที่เห็นในปัจจุบันว่าลงทะเบียน 200 คน จบ 2,000 คน
ในด้านการเรียนการสอนจะเปลี่ยนไปมาก ครูบาอาจารย์ต้องรับผิดรับชอบ (Accountable) ไม่ใช่แค่กับลูกศิษย์ แต่จะ Accountable กับสังคมมากขึ้น ในที่นี้ขอเสนอจินตภาพเกี่ยวกับศาสตราจารย์สายสังคมศาสตร์ เพราะมิอาจก้าวล่วงไปทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจารย์ระดับศาสตราจารย์มีงานหลักที่วิจัยหรือเป็นเสาหลักของงานวิจัยของทีมใหญ่และบรรยายสาธารณะ (Public lecture) 3 ครั้งต่อปี ประกอบด้วยการบรรยายสาธารณะแก่ชุมชนวิชาการทั่วโลก 2 ครั้งแล้ว และการบรรยายสาธารณะทั่วไปแก่สังคมอีก 1 ครั้ง
การบรรยายแก่สังคมไม่ใช่การบรรยายวิชาการที่ผู้คนฟังไม่รู้เรื่องไม่ใช่การบรรยายที่ต้องมีเรื่องทฤษฎีใหม่หรือสูตรซับซ้อน แต่เป็นการกลั่นกรองความคิดแบบ think piece ที่ตัวอาจารย์จัดการความรู้ในตัวเอง แล้วถ่ายทอดมาเป็นผลการวิเคราะห์ของภาพใหญ่หรือเป็นการรวบรวมความคิดความอ่านวงวิชาการของตนได้ส่งผลและจะส่งผลต่อสังคมอย่างใดได้บ้างเพื่อจุดประกายการขับเคลื่อนสังคม
การบรรยายทั้ง 3 ครั้ง ต้องเผยแพร่ผ่านมือถือ ผ่าน Unitube คือ Youtube ของมหาวิทยาลัย ใครพลาดเล็กเชอร์ตอนไหนก็สามารถดาวน์โหลดได้ทุกเวลา รวมทั้งศาสตราจารย์ก็ต้องมี Written lecture ให้ดาวน์โหลดด้วย ผู้ฟังและผู้อ่านทั่วประเทศ (และทั่วโลกสำหรับโปรแกรมภาษาอังกฤษ) ก็สามารถส่งข้อวิพากษ์วิจารณ์มาให้ผู้บรรยาย ซึ่งอาจจะส่งไปยังฝ่ายประมวลผลผลงานของศาสตราจารย์ท่านนั้นๆ
คำบรรยายที่ให้ต้องมีบทสรุปเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งมีรายชื่อเอกสารอ่านประกอบที่จะต้องสามารถให้นักศึกษาดาวน์โหลดได้ก่อน เพื่อให้นักศึกษาสามารถตั้งคำถามได้ถูกต้องตรงประเด็นหลังการบรรยายสิ้นสุดลง ส่วนอาจารย์ในระดับรองศาสตราจารย์ (รศ.) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) ก็ต้องมีภารกิจบรรยายสาธารณะทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัยของตน 1 ครั้งต่อปีเช่นกัน แต่งานสำคัญของ รศ. และ ผศ. จะเป็นการดำเนินการ Discussion tutorial
สำหรับนักศึกษานอกจากจะมีภาคบังคับให้ฟังบรรยายสาธารณะและบรรยายวิชาการดังที่กล่าวมาแล้วในสาขาที่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว จะมีภารกิจไปศึกษาจากเอกสารคำสอน หนังสือประกอบการสอนที่ใส่ไว้ใน Unitube, Youtube, Cloud และ Library ทั่วโลก เพราะบรรยายในห้องจะหมดไป และเข้าเรียนเฉพาะในลักษณะของ Discussion และ tutorial คือการนำหัวข้อที่อาจารย์ให้ไว้พร้อมบัญชีรายการบทความที่ให้อ่านเพื่อมาถกประเด็นหรือนำข้อสงสัยมาจากที่รับฟังในการบรรยายสาธารณะมาถกเถียงกันให้มีความเข้าใจมากขึ้น หรือมาถกประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิชาของตน
นอกจาก tutorial แล้ว นักศึกษา (สายสังคมศาสตร์) ยังต้องเขียนบทความหรือรายงาน (Essay) เพื่อฝึกทักษะการเขียน รวมทั้งฝึกการทำงานกลุ่ม
เมื่อผู้เขียนยังสอนหนังสือวิชาเศรษฐกิจไทยเมื่อนานมาแล้ว นอกจากการสอนและสอบปกติทั้งเชิงปริมาณและข้อสอบแบบ takehome แล้ว ก็ได้กำหนดให้นักศึกษาหัดเขียนบทความ (สำหรับหนังสือพิมพ์) เพื่อฝึกการเขียนที่มีตรรกะเป็นขั้นตอนเข้าใจง่ายๆ ถ่ายทอดวิชาการให้คนทั่วไป เมื่อนักศึกษาได้คะแนนแล้วยังไม่พอใจก็สามารถนำไปปรับปรุงแล้วส่งกลับมาใหม่ จนพอใจ
นอกจากนี้ นักศึกษายังต้องฝึกทำงานกลุ่มเพื่อนำเสนอหน้าห้อง 20 นาที โดยเลือกได้ว่าจะนำเสนอรูปแบบใด เช่น เป็นการประชุมรัฐสภา ประชุมบอร์ดบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ การรายงานข่าวเศรษฐกิจเจาะลึก Debate ของนักวิชาการ Talk show หรือแม้แต่เกมโชว์ ผลปรากฏว่านักศึกษาชอบมาก และมีความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอสูง (แม้เศรษฐศาสตร์จะหย่อนไปสักหน่อย) เช่น ทำละครพูดคนเดียว (เป็นการเล่าปัญหาเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาของรัฐของคุณหญิง รมต. กระทรวงการคลังให้ช่างทำเล็บฟัง) มีการแสดงละคร (เช่น ผู้สื่อข่าวหญิงพบรักกับโฆษกรัฐบาลท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ) มีรายการเกมแฟนพันธุ์แท้ Econ (ซึ่งใช้ความจำมากไปหน่อย แต่การนำเสนอเร้าใจให้ลุ้นไม่แพ้รายการทีวี) แถมมีโฆษณาคั่นรายการแบบ 555 อีกด้วย ความสร้างสรรค์ของนักศึกษาเหล่านี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจผู้สอนให้ยังมีความหวังกับอนาคตประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้
มหาวิทยาลัย 4.0 น่าจะต้องให้นักศึกษาออกลายฟรุ้งฟริ้งแบบนี้ แต่ต้องนำสมัยมากขึ้นด้วยระบบ IT มากกว่าที่เคยทำมา ถึงจะเป็นการเรียนการสอนที่มีนักศึกษาเป็นศูนย์กลางแบบ 4.0
มาช่วยกันเริ่มต้นคิดกันตั้งแต่วันนี้ได้เลย!!
มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด
สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ