ลลิตา หาญวงษ์ : เมื่อพม่าคือเพื่อนบ้านที่สำคัญที่สุดของจีน

โครงการ BRI หรือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) เป็นเมกะโปรเจ็กต์เรือธงของรัฐบาลจีนภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มาตั้งแต่ปี 2013 ภายใต้กรอบคิดขนาดใหญ่ ยังมีแผนการย่อยของแต่ละประเทศและแต่ละภูมิภาคมากมาย สะท้อนให้เห็นทัศนคติของนักวางแผนจีน ที่ต้องการหว่านอิทธิพลทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของตน ออกไปให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ หากทำได้ทั้งหมดถือเป็นกำไร หากทำไม่ได้ดั่งแผน เท่ากับเสมอตัว วิธีคิดแบบจีน จีนต้องไม่เสียเปรียบ ยิงปืนนัดเดียวต้องได้นกหลายตัว ให้คุ้มค่ากับการลงทุน

อิทธิพลของจีนในประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่างในลาวและกัมพูชา มีมานานแล้ว เราเห็นพัฒนาการของทุนจีน ที่เข้าไปลงทุนสร้างเขื่อน ทางรถไฟ หรือแม้แต่การพัฒนาเมืองทั้งเมือง เพื่อรองรับคนจีนและธุรกิจแบบ “จีนๆ” มาแล้วหลายกรณี ผู้เขียนอยากหยิบยกกรณีของพม่า กับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน มาพูดถึง เพราะหากเทียบ “หมัดต่อหมัด” ต้องบอกว่าพม่ามีทุกอย่างครบเครื่อง ทั้งทรัพยากร ทางออกสู่ทะเลหลายฝั่ง ทั้งฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ที่มีความสำคัญยิ่งในฐานะเกตเวย์สู่อินเดียและแอฟริกาตะวันออก และพม่ายังอยู่ติดกับประเทศที่คนจีนชื่นชอบอย่างไทย ทำให้ ณ เวลานี้ เป้าหมายของจีนและโครงการ BRI ในส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปจะเคลื่อนไปพม่า

ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ภาวะสุญญากาศทางอำนาจที่เกิดขึ้นทำให้แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายใต้กรอบ BRI ของจีนในพม่าต้องหยุดชะงัก จีนกับพม่ามีแผนการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน ชื่อว่า ระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา (China-Myanmar Economic Corridor) หรือ CMEC มาหลายปีแล้ว โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ BRI และระเบียงเศรษฐกิจบังกลาเทศ-จีน-อินเดีย-เมียนมา หรือ BCIM หากดูในภาพกว้าง จีนต้องการทางออกสู่ทะเลเพิ่มเติม เพราะทะเลจีนฝั่งตะวันออกอยู่ติดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งห่างไกลจากตลาดสำคัญของจีนในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ดังนั้น การเปิดช่องทางการค้าทางทะเลใหม่ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย จึงเป็นหนึ่งในความฝันของจีนภายใต้ BRI CMEC และ BCIM

สำหรับโครงการภายใต้ CMEC นั้น จีนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในพม่า เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษเจ้าก์ผิ่ว ในรัฐอาระกัน อันจะเป็นประตูสู่มหาสมุทรอินเดียที่ใกล้มณฑลยูนนานของจีนมากที่สุด นอกจากนั้น จีนยังต้องสร้างถนนเพื่อสร้างความเชื่อมโยงตั้งแต่จีนตอนใต้ลงมาจนจรดพื้นที่ฝั่งตะวันตกของรัฐอาระกัน ที่อยู่ติดมหาสมุทรอินเดีย อีกหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่เป็นหัวใจของ CMEC คือท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ที่ลำเลียงน้ำมันและก๊าซจากท่าเรือเจ้าก์ผิ่วในอ่าวเบงกอล ไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและการบริโภคของมณฑลต่างๆ ในจีนตอนใต้ เปิดใช้บางส่วนมาตั้งแต่ปี 2013 ก่อนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะประกาศแผนการ BRI อย่างเป็นทางการเสียอีก

ADVERTISMENT

นอกจากท่อส่งก๊าซและน้ำมันที่เป็นหัวใจของ CMEC จีนยังมีแผนจะสร้างระเบียงขนส่ง (transport corridor) และทางรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมท่าเรือน้ำลึกที่เจ้าก์ผิ่วกับคุนหมิง โดยเฟสแรกจะเป็นทางรถไฟเพื่อเชื่อมคุนหมิงกับมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของพม่า ซึ่งตั้งอยู่ในพม่าตอนบน หากแผนการนี้สำเร็จ จีนก็จะมีเส้นทางเข้าออกมหาสมุทรอินเดีย และจะเป็นเพียงประเทศเดียวในโลก ที่มีทางออกสู่มหาสมุทรทั้งสองฝั่ง ผลที่จะตามมาคือพื้นที่ในพม่าตอนบนไปจนถึงมณฑลยูนนาน จะกลายเป็นฮับด้านการค้าและการขนส่งขนาดใหญ่ เผลอๆ จีนอาจจินตนาการไปแล้วว่าจะยิ่งใหญ่กว่าช่องแคบมะละกาเสียอีก!

ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับพม่ามาตั้งแต่ปี 2021 นั้น สร้างความปั่นป่วนให้กับโครงการ CMEC อย่างมาก เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นท่าที “อยู่ไม่สุข” บ่อยครั้ง จีนปรับทัพและกระบวนท่าหลายครั้ง และมาจบอยู่ที่ข้อสรุปว่าจะช่วยเหลือและส่งเสริมให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น ไม่ว่าเหตุการณ์หลังการเลือกตั้งในพม่าจะเป็นอย่างไร จีนดูจะมั่นอกมั่นใจว่าเอาอยู่ และจะเดินหน้าโครงการ CMEC ต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะภายใต้กรอบ BRI แล้ว ทางออกสู่ทะเลและการสร้างถนนกับทางรถไฟเพื่อเชื่อมจีนให้ถึงทางออกสู่ทะเลคือเป้าหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจและความมั่นคง จึงอาจกล่าวได้ว่าพม่าเป็นเพื่อนบ้านที่สำคัญที่สุดของจีนในเวลานี้ หากจีนเป็นตัวกลางหรือเข้าไปแทรกแซง เพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้น เริ่มจากบริเวณที่กระทบกับโครงสร้างพื้นฐานของตนก่อน อย่างน้อยโครงการ CMEC ก็จะดำเนินต่อไปได้ แต่หากปล่อยให้สงครามกลางเมืองยืดเยื้อ นอกจาก CMEC จะไม่เกิดขึ้นแล้ว ยังจะไปกระทบกับแผนการ BRI ในภาพกว้างอีกด้วย

ADVERTISMENT

ด้วยปริมาณการค้าระหว่างจีนกับทุกชาติมีปริมาณมาก แม้หลายประเทศจะไม่ได้มองว่าขาดสินค้าจากจีนไม่ได้เสียทีเดียว แต่สินค้าจากจีน ที่มีราคาถูก ก็ตอบโจทย์ของประเทศกำลังพัฒนา เรียกว่าเผลอๆ ซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนยังคุ้มค่ากว่าตั้งโรงงานผลิตของอย่างเดียวกันในประเทศเสียอีก จีนมักนำเรื่องการค้ามาเป็นแรงจูงใจเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกชาติในซีกโลกใต้ การเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังมาพร้อมกับแผนการที่ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น คือการส่งออกชาวจีน เพื่อส่งออกวัฒนธรรมและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน

คนจีนโพ้นทะเลกลุ่มใหม่เริ่มออกจากจีนเพื่อไปค้นหาประสบการณ์และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในต่างแดน ตั้งแต่นโยบายเปิดประเทศของจีนที่เริ่มขึ้นหลังเหมาเจ๋อตุงถึงแก่อสัญกรรมในปลายทศวรรษ 1970 ตามมาด้วยยุทธศาสตร์ Going Out Policy หรือกลยุทธ์ส่งเสริมให้ธุรกิจจีนไปลงทุนในต่างประเทศ ในปี 1999 และ BRI มีคนจีนที่อพยพไปตั้งรกรากในประเทศทั่วโลกประมาณเกือบ 7 แสนคน (สถิติปี 2020) คนจีนโพ้นทะเลยุคใหม่เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจในจีนแล้ว ทำให้คนเหล่านี้มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และโดยมากเป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษามากขึ้น ต่างจากยุค “เสื่อผืนหมอนใบ” ในยุคที่คนจีนฐานะยากจนอพยพออกจากจีนเพื่อหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า แม้คนจีนโพ้นทะเลยุคใหม่คิดเป็นจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรจีนในปัจจุบันที่มี 1.4 พันล้านคน แต่ยุทธศาสตร์และนโยบายของจีนในช่วง 30 ปีให้หลังนี้ ชี้ชัดว่าทิศทางของรัฐบาลปักกิ่งคือนโยบายออกสู่ข้างนอก (Outward-looking Policy) ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจของจีนไปตั้งโรงงานในต่างประเทศ และเผยแพร่อิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของจีนออกไปข้างนอกอย่างแยบยล โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่มีทั้งทรัพยากรและยังมีการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพนัก ซึ่งทำให้จีนเข้าไปมีอิทธิพลได้ง่ายกว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยตั้งมั่นแล้วในโลกฝั่งตะวันตก

ลลิตา หาญวงษ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image