คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : อวสาน DEI : ความหลากหลายเท่าเทียม และนับรวมทุกคนที่ล้มเหลว

พร้อมกับที่ประเทศไทยได้มีสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (23 มกราคม 2567) ซึ่งเป็นเหมือนการที่กฎหมายยอมรับหลักการว่าครอบครัวที่กฎหมายรับรองนั้นไม่ได้มีเพียงกรอบทวิลักษณ์ชายกับหญิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่มีเพศสภาพและเพศวิถีอย่างอื่นด้วย 

หากสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง ในประเทศที่ถือว่าเป็นอารยะและเป็นผู้นำทางประชาธิปไตยคือสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีคนใหม่แต่หน้าเก่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เพิ่งจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 หรือสมัยที่ 2 ของเขาอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการมีผลบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทย ก็ได้มีประกาศประธานาธิบดี (An executive order) ที่มีสาระว่าสหรัฐอเมริการับรองอย่างเป็นทางการว่าบุคคลมีเพียงสองเพศ คือชายและหญิงเท่านั้น โดยนโยบายนี้จะถือว่า เอกสารทางการที่รัฐรับรองรวมทั้งหนังสือเดินทางนั้นจะระบุเพศบุคคลเพียงชายหรือหญิงตามแต่การจำแนกทางชีววิทยาที่ไม่เปลี่ยนรูปของบุคคล (An individuals immutable biological classification as either male or female.) และให้พนักงานและเอกสารของรัฐเลือกใช้คำว่าเพศ” (Sex) แทนเพศสภาพหรือ Gender รวมถึงการสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำงานในโครงการตามนโยบาย DEI (Diversity, Equity, Inclusion : ความหลากหลาย, ความเท่าเทียม และการนับรวมทุกกลุ่มคน) ให้ลางานโดยได้รับค่าจ้างทันที ก่อนที่จะดำเนินกระบวนการเลิกจ้างต่อไป

การประกาศว่าบุคคลมีเพียงสองเพศ และยกเลิกนโยบาย DEI อาจจะเป็นเรื่องค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับนโยบายขวาจัดอื่นที่อาจมีผลกระทบกับประเทศต่างๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาด้วย เช่น การประกาศถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมถึงถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การยกเลิกการให้ความเป็นพลเมืองสหรัฐโดยกำเนิดกับเด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาโดยพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกันที่ถูกกฎหมาย และนโยบายที่มีลักษณะอเมริกาต้องมาก่อน” (America First) อีกมากมาย แต่การยกเลิกนโยบายเรื่อง DEI นี้มีความน่าสนใจว่า มันกลายเป็นนโยบายของทรัมป์ซึ่งผู้คนที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐ แม้แต่คนไทยของเราบางส่วนก็อนุโมทนาสาธุไปด้วย นั่นก็เพราะความล้มเหลวในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนของสหรัฐอเมริกาเอง

แม้ว่าแนวคิดของการตื่นรู้ (Woke) และการยอมรับความหลากหลายเท่าเทียมและนับรวมทุกคนนี้ (DEI) จะมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ในยุคของ อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้นำเอานโยบาย DEI นี้มาใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรมโดยรัฐบาล เช่นการกำหนดให้การจ้างงานจะต้องประกอบด้วยพนักงานที่มีสัดส่วนของเชื้อชาติ สีผิว และเพศสภาพที่คละเคล้ากันโดยไม่ให้มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีจำนวนที่มากหรือเป็นนัยสำคัญกว่ากลุ่มอื่น

ADVERTISMENT

เรื่องนี้อาจจะต้องยอมรับในทางความเป็นจริงก่อนว่า แต่เดิมทีตำแหน่งงานสำคัญขององค์กรต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชนในประเทศตะวันตก หลายธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น มักจะมีน้ำหนักไปทางคนผิวขาวเพศชายหรือคนที่มีเชื้อชาติหลักของประเทศนั้นอยู่ก่อน เมื่อมีการใช้นโยบาย DEI จึงเป็นเหมือนการชดเชยให้แก่ผู้ที่มีเพศสภาพหรือเชื้อชาติสีผิวอื่นๆ ได้เข้ามาสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานนั้นๆ ดังนั้น เมื่อมีการรับพนักงานใหม่ จึงแทบจะไม่อาจรับพนักงานชายผิวขาวเข้ามาเพิ่มได้เพราะจะเกินโควต้า และในทางกลับกันยังต้องแบ่งไปรับพนักงานหญิงและเพศอื่นๆ เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่นโยบายกำหนด และตามสัดส่วนยังต้องมีคนผิวสีอื่นนอกจากผิวขาวหรือชาวเชื้อชาติอื่นๆ เข้ามาด้วย 

ในการรับคนเข้าทำงานในยุค DEI จึงคล้ายจะมีที่นั่งสำหรับผู้หญิง คนเพศอื่น คนผิวดำหรือคนเชื้อชาติอื่นๆ มากขึ้น ในประกาศรับสมัครงานหรือเข้าร่วมบางโครงการถึงกับประกาศว่า รับเฉพาะผู้หญิงที่ไม่ใช่คนผิวขาวเท่านั้น

ADVERTISMENT

การรับคนเข้าทำงานตามแนวคิดที่น่าจะหมายถึงการจ้างงานที่คำนึงถึงความรู้ความสามารถอันแท้จริงไม่ใช่เพียงเพศสภาพ เชื้อชาติ สีผิว จึงเท่ากับเป็นการกีดกันคนบางกลุ่มไป กลายเป็นมุมกลับว่า คนที่เกิดมาเป็นชายผิวขาวอาจจะไม่มีตำแหน่งงานเพราะคนอื่นๆ ก่อนหน้าในบริษัทเป็นชายผิวขาวเยอะแล้ว เป็นเรื่องตลกร้ายที่ย้อนแย้ง

นอกจากนี้การที่ต้องรับคนเข้าทำงานโดยโควต้าความหลากหลายนั้นก็นำไปสู่อีกปัญหา คือ แทนที่จะได้คนที่มีความรู้ความสามารถที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งงานนั้น ในที่สุดกลับได้คนที่ความรู้ความสามารถด้อยกว่าเพราะเข้ามาในโควต้า DEI เพื่อให้ได้สัดส่วนด้วย 

ตัวอย่างเช่นหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งเปิดสอบรับเจ้าหน้าที่ใหม่ มีผู้มาคนสมัคร 10 คน รับได้ 5 คน เมื่อผลการสอบคัดเลือกออกมา ผู้ที่สอบได้ที่ 1 ถึงที่ 3 ที่ 5 และที่ 10 เป็นผู้ชาย ผู้ที่สอบได้ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 เป็นผู้หญิง และผู้สอบที่เป็น LGBTQ+ สอบได้ที่ 6 และ ที่ 9 

แต่เพราะโควต้า DEI กำหนดว่าต้องมีชายหญิงและเพศอื่นๆ ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ดังนั้นหากผลสอบออกมา แต่เพราะถ้ารับคนที่สอบได้ที่ 1-5 มาบรรจุทั้งหมด ก็จะได้พนักงานเพศชายเกินครึ่งซึ่งเกินโควต้าที่กำหนด จึงต้องให้คนที่สอบได้ที่ 1-2 ได้บรรจุในอัตราตำแหน่งที่ 1 และที่ 2 แล้วเอาคนที่สอบได้ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้หญิงเข้ามาเป็นโควต้า

ผู้หญิงในอัตราตำแหน่งที่ 3 และเอาคนสอบได้ที่ 6 ที่เป็น LGBTQ+ มาบรรจุในลำดับที่ 4 ส่วนอัตราตำแหน่งลำดับที่ 5 ก็เป็นผู้หญิงที่สอบได้ที่ 7 สรุปทั้งหมด คือคนที่สอบได้ 5 อันดับแรกหากเรียงตามคะแนนนั้นจะได้บรรจุเพียง 3 ตำแหน่ง (คือที่ 1 2 และ 4) แล้วดึงเอาที่ 6 และที่ 7 ขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับโควต้า DEI

ข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างที่ตัดทอนเรื่องสีผิวและเชื้อชาติไปแล้วด้วย ซึ่งถ้าเอามาคิดรวมด้วยจะงงยิ่งกว่านี้

ปัญหาของการจ้างงานตามแนวคิด DEI ทำให้อาจจะได้คนที่ไม่เหมาะสมที่สุดกับงานเข้ามา เพียงเพราะถูกจำกัดโดยโควต้าเพศหรือสีผิว แต่ถ้างานในตำแหน่งงานนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะหรือชีวิตของผู้คนที่ต้องการให้คนที่ทำงานในตำแหน่งนั้นเป็นคนที่เก่งหรือเหมาะสมที่สุดจะเป็นอย่างไร นี่อาจเป็นสาเหตุที่หน่วยงานของรัฐแรกที่ทรัมป์จี้ให้ทบทวนเรื่องการรับคนเข้ามาด้วยโควต้า DEI คือ สำนักงานควบคุมการบินของรัฐบาลสหรัฐ หรือ FAA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยในการเดินอากาศทบทวนว่ามีการจ้างพนักงานเข้ามาตามนโยบาย DEI อยู่หรือไม่ และให้เร่งคัดเลือกพนักงานใหม่จากความรู้ความสามารถที่แท้จริงไม่ใช่โควต้า DEI เข้ามาแทนที่

สำหรับภาคเอกชนนั้น นโยบาย DEI นั้นมีสภาพบังคับกลายๆ ในรูปแบบของการส่งเสริมทางภาษีต่อหน่วยงานบริษัทหรือองค์กรเอกชนที่ตอบรับแนวความคิด DEI เช่นการจ้างงานที่สอดคล้องกับ DEI จะได้รับการลดหย่อนภาษีหรือไม่ต้องเสียค่าปรับชดเชยแทนการปฏิบัติตาม ทำให้บริษัทเอกชนชั้นนำต่างๆ ของทั้งสหรัฐและบริษัทระดับโลกอื่นๆ ต้องเปิดแผนก DEI ขึ้นมาเพื่อขานรับกับนโยบายนี้ ซึ่งก็เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเอง

นโยบาย DEI ยังส่งผลให้เกิดเรื่องประหลาดเหลือเชื่อมากมาย เช่น โรงเรียนในรัฐมินิโซตาและในออสเตรเลียมีสวัสดิการผ้าอนามัยให้บริการในห้องน้ำชายด้วย เพราะแนวความคิดของเพศหลากหลายเชื่อว่า บุคคลย่อมกำหนดเพศของตนเองได้เองโดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาวะทางชีววิทยาที่เป็นผลมาจากเพศกำเนิด ดังนั้น ผู้เกิดมาพร้อมมดลูกคนหนึ่ง อาจจะกำหนดว่าตัวเองเป็น เพศชายและมีเพศสภาพดำเนินเพศวิถีอย่างผู้ชายก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากมดลูกที่มีมาแต่กำเนิดโดยธรรมชาตินั้นยังคงมีอยู่ จึงเป็นไปได้ที่ชายคนนั้นยังคงมีประจำเดือน ด้วยเหตุจำเป็นนั้นเอง จึงต้องจัดหาผ้าอนามัยไว้ในห้องน้ำชายสำหรับผู้มีเพศสภาพดังกล่าวนั้นได้ใช้ 

เรื่องที่ฟังดูเหมือนเรื่องตลกนี้ก็มีบริษัทชั้นนำของโลกหลายแห่งรับไปปฏิบัติการอย่างจริงจัง ซึ่งก็ได้ข่าวว่าค่อยๆ ยกเลิกไปแล้วหลังจากการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเริ่มจากบริษัท META ที่เป็นเจ้าของ Facebook

นโยบาย DEI นี้ยังส่งผลถึงเนื้อหาของผลงานของบริษัทที่เป็นสื่อในรูปแบบต่างๆ ด้วย ดังที่เคยเขียนไปในคอลัมน์นี้แล้วว่า บริษัทที่ผลิตภาพยนตร์ การ์ตูนแอนิเมชั่น และเกมคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องนำเสนอเนื้อหาที่สอดคล้องและสะท้อนเรื่องความหลากหลายด้วย ที่ก่อให้เกิดความขัดเคืองต่อผู้ชมเมื่อพบว่าเจ้าหญิงเงือกน้อยผจญภัยในภาพยนตร์ฉบับคนแสดงนั้นกลายเป็นน้องเงือกผิวดำ หรือเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ที่แปลตรงตัวว่าขาวดั่งหิมะนั้นก็เป็นสาวลาตินอเมริกาหน้าเข้ม (แล้วใช้วิธีไปแถไถเอาในการเล่าเรื่องว่าที่ได้ชื่อนี้มาหาใช่สีผิว แต่เป็นเพราะน้องนางเกิดในยามที่พายุหิมะโหมหนัก พระบิดาพระมารดาจึงขนานนามนี้ไว้เป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว)

นอกจากการสลับสับเปลี่ยนสีผิวและเชื้อชาติของตัวละครดั้งเดิมที่เป็นภาพจำข้างต้นแล้ว การปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับกับนโยบาย DEI ก็ยังรวมถึงการนำเสนอหน้าตาของตัวละครเอกในภาพยนตร์ การ์ตูนแอนิเมชั่น และเกมคอมพิวเตอร์ ให้มีหน้าตาธรรมดาเพื่อสื่อแสดงถึงแนวคิดความงามในแบบฉบับของตัวเองที่คนเราจะมีรูปลักษณ์อย่างไรก็ต้องเป็นพระเอกนางเอกได้ ไม่จำเป็นต้องขาวผ่องผอมสูง หรือมีรูปร่างดี ล้มล้างความคิดเรื่องความงามแบบมาตรฐาน” (Beauty standard) ไปเสียเถิดว่ารูปร่างหน้าตา หรือสีผิวแบบไหนถึงจะเรียกว่าหล่อสวย เป็นพระเอก นางเอก หรือตัวละครหลักได้ 

ความพยายามฟอกสังคมและสื่อบันเทิงให้สอดรับกับแนวคิด DEI และปลูกฝังการเมืองเชิงอัตลักษณ์อย่างล้นเกินข้างต้นได้ปรากฏผลอย่างชัดเจนในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา นั่นคือการที่ผู้บริโภคสื่อซึ่งเป็นเหมือนลูกค้านั้นแสดงการต่อต้านด้วยการไม่ซื้อ ไม่สนับสนุน รวมถึงการกระหน่ำล้อเลียนด้อยค่า จนทำให้ทั้งภาพยนตร์และวิดีโอเกมส์ที่ใช้แนวคิดแบบ Woke และ DEI นั้นล้มเหลวพ่ายแพ้ ขาดทุนยับเยิน ที่ยังไม่ได้ฉายหรือจำหน่ายก็จำต้องเลื่อนวันฉายหรือวันวางจำหน่ายออกไปเพื่อแก้ไขเท่าที่เป็นไปได้ 

จนกลายเป็นคำกล่าวว่าถ้าตื่นรู้ยัดเยียดความหลากหลายก็เตรียมล้มเหลวได้เลย (Go Woke, Go Broke) 

ประกาศประธานาธิบดีในเรื่องการรับรองเพศเฉพาะชายหญิงของทรัมป์นั้นสร้างความกังวลให้แก่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเกี่ยวกับความเสมอภาคทางเพศและสิทธิของคนกลุ่มน้อยในสังคมว่า ทิศทางใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นเป็นสัญญาณอันตรายต่อพัฒนาเพื่อความเท่าเทียมในด้านต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงนำไปสู่การกีดกันหรือรังคัดรังควานผู้คนที่มีเพศหรือเชื้อชาติที่แตกต่างได้

ถึงกระนั้น สิ่งที่ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมกันของหญิงชายตลอดจนบุคคลเพศหลากหลาย และบรรดาคนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมนั้นอาจจะต้องทบทวนตัวเองด้วยว่าการดำเนินนโยบายและขับเคลื่อนแนวคิด DEI อย่างสุดโต่งเกินพอดีที่ผ่านมา ก็มีส่วนในการเพาะสร้างพวกกลุ่มขวาจัดที่เหยียดเพศและความแตกต่างขึ้นมาเช่นกัน รวมถึงเป็นการทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกเห็นด้วยกับแนวทางที่สุดไปอีกโต่งหนึ่งของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วย

นี่อาจจะเป็นบทเรียนแง่ลบที่ดีสำหรับผู้ที่จะผลักดันประเด็นบางอย่างที่อาจจะขัดแย้งหรือแตกต่างจากคุณค่าหรือความคิดเดิมของสังคมว่าจะต้องดำเนินการโดยวิธีการพอเหมาะพอควร ไม่สุดโต่งจนเกิดผลที่ในที่สุดนอกจากความคิดฝ่ายของตนจะขายไม่ได้แล้ว ยังบ่มเพาะให้ฝ่ายตรงข้ามหรือความคิดแบบเดิมกล้าแข็งขึ้นมาอีก

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image