
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
---|
ประวัติศาสตร์เมืองนครราชสีมาไม่เหมือนเดิม เมื่อพบหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงความแตกต่างจากประวัติศาสตร์กระแสหลัก
เมืองนครราชสีมาสร้างสมัยพระนารายณ์ฯ (พ.ศ. 2199-2231) มีบอกในพระราชพงศาวดารอยุธยา ทำให้นักประวัติศาสตร์โบราณคดี “เถนตรง” ยืนกรานอย่างนั้นมากกว่า 80 ปี แม้จะมีผู้พยายามตั้งคำถามว่าความเป็นชุมชนเมืองต้องมีมาก่อนแผ่นดินพระนารายณ์ฯ นานพอสมควรนับร้อยปี เพราะถ้าไม่มีคนอยู่มากพระนารายณ์ฯ จะสร้างเมืองใหม่ทำไม?
แต่นักประวัติศาสตร์โบราณคดี “เถนตรง” ไม่ยอมสงสัย
ล่วงไปกระทั่งบัดนี้นักโบราณคดี กรมศิลปากร ขุดพื้นที่ภายในตัวเมืองนครราชสีมา พบชุมชนดั้งเดิมมีที่ฝังศพโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้อายุมากกว่า 2,000 ปี เก่าแก่กว่าสมัยพระนารายณ์ฯ เป็นพันๆ ปี ย่อมทำให้ประวัติศาสตร์เมืองนครราชสีมาต้องปรับเปลี่ยนจากเดิม ซึ่งมีข่าวล่าสุด ดังนี้

[ภาพโดยวัชร์ชัยนันท์ สมสิทธิ์ ช่างภาพอิสระ นครราชสีมา มิถุนายน 2567]
ขุดพบ “โครงกระดูกมนุษย์โบราณ”
เมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่แหล่งโบราณคดีโนนพลล้าน บริเวณพื้นที่ปรับภูมิทัศน์คูเมืองด้านตะวันออก ถนนอัษฎางค์ ตัดถนนพลล้าน เขตเทศบาลนครราชสีมา จ. นครราชสีมา
ทางสำนักศิลปากรที่ 10 ได้มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์พร้อมภาชนะเครื่องปั้นดินเผาของยุคก่อนประวัติศาสตร์เพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการขุดพบโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผาของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2567
ในเบื้องต้นเท่าที่เห็นร่องรอยนั้นจะพบทั้งหมด 3 โครง นอกจากนี้ใกล้กันกับโครงกระดูกดังกล่าวยังพบภาชนะเครื่องปั้นดินเผาอยู่ใกลกันกับโครงกระดูกด้วย ซึ่งภาชนะเป็นแบบพิมายดำตามข้อมูลวิชาการโบราณคดีมีช่วงอายุประมาณ 2,400-1,500 ปี
บริเวณที่เป็นพื้นที่เมืองนครราชสีมานั้น เคยมีชุมชนของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ ทำให้ทางสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปรวมไปถึงนักเรียนสถาบันการศึกษาได้เข้าชมขั้นตอนการทำงานของนักโบราณคดี และยังได้มีการจัดนิทรรศการคืนความรู้เกี่ยวกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองนครราชสีมา สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568
(ที่มา : มติชน ฉบับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 หน้า 16)
โครงกระดูก และทองคำเป็นเครื่องประดับ มีแหวน 2 วง และต่างหู (ตุ้มหู) ของตระกูลหัวหน้าเผ่าพันธุ์ ขุดพบบริเวณกำแพงเมืองนครราชสีมา ด้านตะวันออก (ภาพและข่าวจาก มติชนออนไลน์ วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2567)
ใคร? มาจากไหน?
คนดั้งเดิมของเมืองนครราชสีมาที่มีซากศพเหล่านั้น เป็นคนหลายชาติพันธุ์จากดินแดนห่างไกล ราว 2,500 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ. 1 พากันทยอยโยกย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบริเวณลุ่มน้ำมูล ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรสำคัญ คือ เหล็ก, เกลือ, ทองแดง ส่งผลดังนี้
(1.) ประชากรเพิ่มขึ้น (2.) ลูกผสมหลายชาติพันธุ์ (ต้นกำเนิดชาวสยาม) (3.) วัฒนธรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ และก้าวหน้าเข้ามา ได้แก่ ถลุงเหล็ก, หล่อสำริด, นาทดน้ำ, ฝั่งศพครั้งที่สอง, ภาษาไท-ไต เคลื่อนไหวบนเส้นทางการค้าดินแดนภายใน, นับถือผีฟ้าและรับคำว่า “แถน” จากจีนเรียกผีฟ้า
หญิง เป็นใหญ่ในพิธีกรรม และเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ มีอำนาจเหนือชายสืบเนื่องจากจากชุมชนมากกว่า 3,000 ปีมาแล้ว
ความเชื่อ ศาสนาผี เชื่อเรื่องขวัญว่าคนตาย ขวัญไม่ตาย เรียกใหม่ว่าผี (ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด และไม่มีวิญญาณ)
พิธีกรรมหลังความตาย มีพิธีสู่ขวัญและส่งขวัญของคนตายที่เป็นชนชั้นนำ หมอขวัญ-หมอแถน ทำพิธีสู่ขวัญและส่งขวัญ
กระดูกคนตายที่ถูกฝังดินจนไม่มีเนื้อหนัง เพราะเปื่อยเน่าหมดแล้ว ถูกใส่ภาชนะดินเผาแล้วทำพิธีฝังอีกครั้งหนึ่งเรียก “พิธีศพครั้งที่ 2” (ต้นตอของโกศปัจจุบัน)
ข้าวเหนียว เป็นอาหารหลัก “เน่าแล้วอร่อย” เป็น “กับข้าว” กินพร้อมข้าวเหนียวสืบเนื่องจนปัจจุบันเรียกปลาร้าปลาแดก
ประวัติศาสตร์ไทย ไม่เหมือนเดิม
“อัลไต-น่านเจ้า” ถิ่นกำเนิดชนชาติไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ ไม่พบหลักฐานวิชาการรองรับทางประวัติศาสตร์โบราณคดีและมานุษยวิทยา รวมทั้งวิทยาศาสตร์ (DNA) ดังนั้นแนวคิดนี้จึงหมดความชอบธรรม
“สุโขทัยราชธานีแห่งแรกของไทย” ก็หมดความชอบธรรมตามไปด้วย
อโยธยาถูกบังคับสูญหายจากประวัติศาสตร์ไทย เพื่อยกสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก บัดนี้สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรก ก็ต้องพิจารณากันใหม่เรื่องอโยธยา
นครราชสีมาเมืองเก่าอยู่เมืองเสมา-ศรีจนาศะ (อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา) คือเมืองราดของพ่อขุนผาเมือง ซึ่งมีส่วนสำคัญผลักดันให้เกิดเมืองอโยธยา ที่อยู่บนเส้นทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
ผู้เชี่ยวชาญ 2 คนที่รับเชิญมาพิจารณา HIA ของนักวิชาการไทย ได้ผล “ไม่ราบรื่น” เหมือนที่เป็นข่าวในสื่อสาธารณะ (แต่รายงานการประชุมหารือจะตกแต่งอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
นักวิชาการทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่ “รับจ้าง” สนับสนุนรถไฟความเร็วสูงให้ทำลายเมืองอโยธยาควรพิจารณาตนเอง
รัฐบาลที่เข้าใจผิดหลงเชื่อนักวิชาการ “รับจ้าง” ควรพิจารณาใหม่เพื่อให้รอดพ้นจากการได้จารึกชื่อในความทรงจำของคนทั้งหลายว่าทำลายอโยธยาประวัติศาสตร์สำคัญอันเป็นแหล่งเริ่มต้นคนไทยและความเป็นไทย