คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : จาก ‘กลิ่นสาบคนจน’ บนรถไฟฟ้า ถึง ‘ความเห็นพวกงั่ง’ ในสังคมออนไลน์

ถ้าจะวัดผลสัมฤทธิ์ของมาตรการรถไฟฟ้า(และรถเมล์) ฟรีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ของรัฐบาลที่การลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัว จากการสำรวจของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ก็ได้รายงานผลว่าปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในพื้นที่ กทม. ลดลงประมาณ 10% หรือราว 5 แสนคัน ซึ่งก็น่าจะมีส่วนในการลดการปล่อยก๊าซและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้บ้าง

หากตัวเลขที่น่าสนใจกว่า คือ ปริมาณของผู้คนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายในระบบเพิ่มขึ้นถึง 42.93% ซึ่งนำไปสู่ปัญหาดราม่าทางสังคมขึ้น นั่นคือกลุ่มผู้โดยสารซึ่งใช้รถไฟฟ้าเป็นประจำ ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสังคมออนไลน์ว่า ผู้คนแห่ออกมาใช้รถไฟฟ้ากันจนแน่นขนัดตลอด 7 วัน โดยเฉพาะคนกลุ่มที่ปกติไม่ได้โดยสารรถไฟฟ้า บางคนก็พาลูกหลานมาขึ้นรถไฟฟ้าเล่น แต่คนกลุ่มที่เพิ่งได้มีโอกาสใช้รถไฟฟ้าไปทำงานหรือทำธุระปะปังของตัวเองก็มีเช่นกัน

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะโครงสร้างของผู้โดยสารระบบรถไฟฟ้ากรุงเทพมหานครนั้น แตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ในโลก เพราะผู้โดยสารรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ จะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางที่มีรายได้สูงระดับหนึ่ง เพราะค่าเดินทางโดยรถไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ราวๆ 30 ถึง 50 บาท ไปจนเกิน 100 บาทได้ในบางจุดหมายปลายทาง ถ้าเดินทางไปกลับต่อวันก็คูณสองเข้าไป เป็นสาเหตุให้ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเป็นประจำได้ ก็จะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความแตกต่างกันมากนักในพื้นเพทางฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา 

ส่วนผู้โดยสารหน้าใหม่ที่ไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้า หรืออาจจะได้ใช้รถไฟฟ้าไปทำงานบ้างในช่วงเวลาที่ได้ขึ้นฟรีเป็นคนกลุ่มที่ถูกกีดกันจากบริการรถไฟฟ้าด้วยฐานะทางเศรษฐกิจและรายได้

ADVERTISMENT

การที่คนกลุ่มซึ่งปกติไม่ได้ขึ้นรถไฟฟ้าเป็นประจำมีโอกาสได้ใช้บริการในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้คนที่ใช้เดินทางเป็นประจำต้องเผชิญกับสภาพความไม่สะดวกสบายต่างๆ ทั้งความแน่นขนัด การที่ต้องรอรถไฟฟ้านานกว่าปกติ รวมถึงที่ผู้โดยสารหน้าใหม่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมและวิธีการขึ้นรถไฟฟ้า กรูแย่งกันขึ้นมาบนรถโดยไม่หลบให้คนที่จะออกจากขบวนรถได้ออกมาก่อน ทั้งเงอะๆ งะๆ เสียจังหวะเวลาเข้าออกสถานี

มีผู้ยกประเด็นเรื่องกลิ่นว่าบนรถไฟฟ้าเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่คุ้นเคย และรบกวนฆานประสาท เดาได้ไม่ยากว่าเขาหมายถึงกลิ่นของผู้โดยสารกลุ่มใหม่นี้เอง 

ADVERTISMENT

เอาจริงถ้าไม่เกรงใจว่ามันจะขัดต่อมรรยาทเชิงการเมือง (Political correctness) แล้ว คงมีคนอยากพูดหรือเขียนออกมาตรงๆ ว่าเหม็นกลิ่นสาบคนจนนั่นแหละ

ทำให้มีผู้ออกมาแจ้งเตือนว่า จริงๆ 7 วันที่ผ่านไปนั้นอาจจะเหมือนการซ้อมหรือชิมลางก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายรถไฟฟ้าราคาเดียว 20 บาทตลอดสายได้สำเร็จ จากการคาดการณ์ก็ประมาณได้ว่าน่าจะได้เริ่มกันในเดือนกันยายนปีนี้ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมที่จะเปิดทางให้ดำเนินนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในวาระที่หนึ่งแล้วอย่างเป็นเอกฉันท์ในสัปดาห์เดียวกัน

รถไฟฟ้า 20 บาทซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงรถประจำทางปรับอากาศจะพาผู้โดยสารหน้าใหม่กลุ่มที่มาขึ้นรถไฟฟ้าฟรีเมื่อเจ็ดวันที่แล้วกลับมาพบกับชาวกรุงเทพฯ ที่เป็นคนใช้รถไฟฟ้าเป็นประจำอยู่เดิมในทุกวันนี้อย่างแน่นอน

แถมยังเป็นเรื่องที่บ่นก็ไม่ได้ เพราะนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ก็เป็นข้อเรียกร้องจากกลุ่มคนที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ ที่อยากให้รถไฟฟ้ามีค่าโดยสารที่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับค่าครองชีพเหมือนเช่นในต่างประเทศ โดยอาจจะลืมคิดไปว่าถ้ารถไฟฟ้าราคาถูกลงในสัดส่วนเช่นในต่างประเทศ โครงสร้างผู้โดยสารในรถไฟฟ้าก็จะเปลี่ยนไปเหมือนในต่างประเทศที่รถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งมวลชนสำหรับคนแทบทุกชนชั้นด้วย

เรื่องนี้ชวนให้นึกถึงวาทะหนึ่งของ อุมแบร์โต เอโก (Umberto Eco) นักเขียนและนักปรัชญาชาวอิตาลี เจ้าของผลงานสมัญญาแห่งดอกกุหลาบ” (Il nome della rosa / The Name of the Rose) เคยกล่าวไว้ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า

สื่อสังคมออนไลน์ทำให้พวกคนงั่ง (ต้นฉบับใช้คำว่า idiots) มีที่มีทางขึ้นมา แต่ก่อนคนพวกนี้พูดกับแก้วไวน์ในบาร์ โดยไม่เป็นภัยต่อสังคมแล้วก็เงียบจบไป แต่ตอนนี้คนพวกนั้นมีสิทธิที่จะพูดเท่าๆ กับผู้ชนะรางวัลโนเบล นี่แหละคือการรุกรานของพวกคนงั่ง

เอโกได้กล่าวข้อความนี้ขึ้นในปี 2015 ต่อสื่อมวลชนหลังจากเข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตด้านการวัฒนธรรมการสื่อสารและสื่อ จากมหาวิทยาลัยตูริน ซึ่งในช่วงเวลานั้น นับเป็นยุคต้นที่สังคมออนไลน์หรือเริ่มเปลี่ยนสภาพจากเครือข่ายสังคมมาเป็นสื่อออนไลน์ที่ผู้ใช้สามารถถ่ายทอดความคิดเห็นออกสู่สาธารณชนได้ 

ในโลกยุคก่อนหน้านั้น การสื่อสารแสดงความคิดความเห็นต่อสังคมนั้นจะต้องทำผ่านสื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โดยผู้ที่จะมีสิทธิในการสื่อสารเช่นนั้นก็จะต้องเป็นใครสักคนหนึ่งที่มีความพิเศษ เช่นเป็นนักวิชาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ นักคิด นักเขียน นักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง หรือคนที่ได้รับรางวัลโนเบล 

การมาถึงของสื่อสังคมออนไลน์ทำให้คนธรรมดาตั้งแต่ระดับสติดีปัญญาไม่พร่อง ไปจนถึงพวกงั่งสามารถแสดงความคิดความเห็นได้อย่างเสรี เป็นเหตุที่เอโกรู้สึกว่าพวกคนงั่งเข้ารุกรานในพื้นที่ที่เคยเป็นของผู้คนที่มีความพิเศษนั้น ซึ่งอาจจะไม่ต่างจากความรู้สึกของผู้โดยสารรถไฟฟ้าชาวกรุงเทพฯ ที่รู้สึกต่อผู้โดยสารหน้าใหม่ผู้มีกลิ่นอันแตกต่างได้รุกคืบเข้าสู่พื้นที่การเดินทางสาธารณะที่พวกเขาคุ้นเคย

สัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน วิวาทะว่าด้วยความเห็นที่มีน้ำหนักควรรับฟังก็กลับเข้ามาสู่การถกเถียงกันอีกครั้งว่า ความเห็นของผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่นแพทย์หรือวิศวกรกับคนไม่ได้เรียนมาทางด้านนั้นควรมีน้ำหนักเท่ากันหรือไม่

ใช่ล่ะ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องคนเท่ากันจะมีเสียงมีสิทธิทางการเมืองเท่ากันหรือไม่แน่นอน แต่มันก็เป็นการตั้งคำถามว่าความคิดเห็นของคนเรามีน้ำหนักคุณภาพเท่ากันหรือไม่ต่อการรับฟังและตัดสินใจทางการเมือง ในการโหวตหรือออกเสียงเลือกตั้งอย่างไร ประชาธิปไตยจึงจะมีคุณภาพ ไม่สามานย์มีไว้เพื่อแบก

ถึงจะไม่ได้กล่าวตรงๆ แต่ก็คาดเดาเจตนาได้ไม่ยากว่าผู้นำเสนอความคิดเห็นนี้ตั้งใจจะหมายถึงการให้ความเห็นทางการเมืองและการเชื่อหรือเลือกไปตามความเห็นทางการเมืองที่มีน้ำหนักหรือคุณภาพต่างกัน รวมถึงจบด้วยการกล่าวถึงเรื่องการแบก อันสามานย์ วิญญูชนผู้ติดตามทางการเมืองก็น่าจะพอเห็นว่าความเห็นดังกล่าวชี้ไปทางกลุ่มใด

ผู้ที่อธิบายเพิ่มเติม (เอาจริงคือผู้พยายามแปลความหมายช่วยให้คำพูดต้นทางดูไม่แย่) ก็ยกตัวอย่างว่า ในกรณีของการรักษาโรคมะเร็ง ความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง กับคำแนะนำผีบอกประเภทที่ว่ากินโซดาผสมมะนาวรักษามะเร็งได้นั้น ความเห็นหรือคำแนะนำใดที่มีคุณภาพควรฟังกว่ากัน หรือคำแนะนำเรื่องการซ่อมรถยนต์จากวิศวกรกับใครที่ดีแต่ขับรถ ถ้าคุณเจ็บป่วยหรือรถเสีย คุณจะเชื่อใคร

แม้ว่าจะพยายามอธิบายให้ออกไปในทางที่ว่า สุดท้ายแล้วผู้รับฟังความคิดเห็นก็มีสิทธิเสรีในการฟังและเลือกว่าจะรับเชื่อความเห็นไหน ไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อผู้รู้ผู้ปราชญ์เสียหน่อยก็เถิด แต่การยกตัวอย่างที่สุดโต่งขึ้นมาขนาดนั้น มันก็ชี้นำกลายๆ นั่นแหละว่า ใครที่เลือกเชื่อความเห็นผีบอกมะนาวโซดานั้น ก็น่าจะไม่ฉลาดที่จะไปเชื่อความเห็นไม่มีคุณภาพเมื่อเทียบกับความเห็นเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เรียนมาทางด้านนี้

การยกตัวอย่างสองเรื่องข้างต้นขึ้นมาเป็นคู่เทียบก็เป็นปัญหาอยู่ในตัว เพราะดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่าเพราะคำพูดนี้ทั้งหมดตั้งใจจะให้หมายถึงการแสดงความเห็นในทางการเมืองและประชาธิปไตย แต่ตัวอย่างที่ยกมานั้น มันเป็นการให้ความเห็นในเชิงศาสตร์หรือวิชาชีพซึ่งมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถชี้ถูกผิดได้ง่ายด้วยชุดข้อมูลและการทดลอง 

เอาง่ายๆ คือคุณหมอที่รักษามะเร็ง สามารถรักษาและยืดอายุให้ผู้ป่วยพอจะมีชีวิตต่อไปได้กี่คน เมื่อเทียบกับผู้ที่กินยาผีบอกมะนาวโซดา เรื่องนี้มีหลักฐานทางสถิติเชิงประจักษ์ เช่นเดียวกับเรื่องซ่อมรถที่ก็มีหลักฐานเชิงประจักษ์เหมือนกันคือดูง่ายๆ ว่าใครทำให้รถกลับมาวิ่งได้ นั่นก็คือเจ้าของความคิดเห็นที่มีน้ำหนักมากกว่า

แต่น้ำหนักและคุณภาพของความคิดเห็นทางการเมืองจะวัดได้อย่างไร? นักวิชาการด้านการเมืองไม่ว่าจะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์กฎหมายมหาชน อาจจะมีความรู้ความสามารถที่จะให้ความเห็นในทางการเมืองได้อย่างคมคายน่าฟัง มีหลักวิชาการสนับสนุนตามระเบียบวิธีทางวิชาการ แต่น้ำหนักและคุณภาพของความเห็นทางการเมืองนั้นมันวัดจากความเพียบพร้อมถูกต้องทางวิชาการในตำราจริงหรือ?

ถ้าจะมองหาหลักฐานเชิงประจักษ์มาเพื่อวัด น้ำหนักหรือคุณภาพของความคิดเห็นทางการเมืองนั้นเทียบกับตัวอย่างเดิมคือแพทย์และวิศวกร เจ้าของความเห็นที่จะมีน้ำหนักมีคุณภาพที่สุด ก็ควรจะได้พิสูจน์แล้วว่าหลักวิชาการของเขานั้นได้ผลในการสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยได้ดีกว่า 

แต่มันเคยมีหรือที่ความเห็นทางวิชาการด้านการเมืองใด มีผู้รับไปปฏิบัติตามแล้วประเทศชาติหรือสังคมนั้นมีความเป็นประชาธิปไตยอันมีคุณภาพขึ้นมาแบบเป็นที่ประจักษ์ประดุจหมอที่รักษาคนไข้ให้หายจากมะเร็งหรืออยู่ร่วมกันได้ ช่างซ่อมรถยนต์ให้กลับมาวิ่งได้หรือไม่

เคยมีผู้เชี่ยวชาญทางรัฐศาสตร์และการเมืองท่านใดเคยนำพาประเทศสักประเทศออกพ้นจากการปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม รัฐซ้อนรัฐที่ชักใยกันด้วยกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มจารีตอย่างมหึมา กลายไปเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีคุณภาพได้บ้าง?

คือถ้าจะว่ากันด้วยผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ ผู้ที่จะมีสิทธิเคลมว่าความคิดความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองของตัวเองนั้นรับฟังได้อย่างมีน้ำหนัก ก็อาจจะได้แก่คนที่เล่นเกมประเภท City Skyline หรือ Civilization ที่เป็นเกมแนวบริหารบ้านเมืองและสร้างอารยธรรมได้อย่างเก่งกาจหรือเปล่า

เสียงพร่ำบนเหม็นกลิ่นสาบคนจนของผู้โดยสารขาประจำในระบบรถไฟฟ้า คำพูดของเอโกที่แสดงความรู้สึกว่าพวกคนงั่งกำลังรุกรานพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น จึงมาซ้อนทับเข้ากับวาทกรรมเรื่องความเห็นคุณภาพแบบเหมือนจะเป็นภาพเดียวกัน

หรืออาจจะเพราะนักวิชาการ ผู้รู้ทางการเมือง ผู้เคยเป็นกลุ่มที่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อปรับตัวลงมาใช้สื่อสังคมออนไลน์ก็ยังได้รับความนับถือยกย่องในทางความคิดอยู่ 

แต่อยู่ดีๆ บนพื้นที่เดียวกัน กลับมีพวกนายแบกนางแบกเร่อร่ามาจากไหนก็ไม่รู้ เรียนจบอะไรมาก็ไม่ทราบ พูดจาก็หยาบคาย เขียนภาษาไทยยังผิดๆ ถูกๆ บุกกรูกันเข้ามาเต็มพื้นที่ จนทำให้ความเห็นของท่านที่เคยเป็นความเห็นคุณภาพก็ลดเหลือเป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งท่ามกลางความเห็นอันหลากหลายนั้น ก็ไม่แปลกที่ท่านจะรู้สึกแบบเดียวกับผู้โดยสารรถไฟฟ้าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

สุดท้ายนี้ขอฝากไปถึงกลุ่มผู้ที่พยายามหามหัวหามท้ายคำอธิบายที่กล่าวไปข้างต้นสักเล็กน้อย

มันออกจะน่าแปลกใจอยู่นะที่ตามปกติแล้วเวลาอ่านหนังสือหนังหา หรือข้อความคิดความเห็นใดก็ตาม พวกท่านจะใช้ความรู้และจินตนาการในการเชื่อมโยงได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นความคิดหรือความเห็นของฝั่งฝ่ายการเมืองที่ท่านไม่ชอบใจ บางครั้งการวิเคราะห์ตีความของพวกท่านพิสดารพันลึกราวกับอ่านวรรณกรรมลาตินอเมริกาก็ไม่ปาน

แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นกับความเห็นของคนฝั่งเดียวกับท่านที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบ ไหงพวกท่านจำกัดการตีความแบบเคร่งครัด ไม่ให้ตีความไปนอกถ้อยคำตัวบท ละข้อความที่มีนัยเปรียบเปรยไม่นำมาพิจารณา และถ้าเป็นกรณีเป็นที่สงสัยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าท่านเจ้าของข้อความมิได้มีเจตนาไปในทางร้าย ทำอย่างกับการตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาไปได้

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image