พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : เดินหน้าต่อกับการเมืองท้องถิ่น

เนื่องจากต้องส่งต้นฉบับก่อนจะรู้ผลการเลือกตั้ง อบจ. ทั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ. ก็เลยอยากจะบันทึกบรรยากาศก่อนที่จะรู้ผลการเลือกตั้ง อบจ.ไว้สักหน่อย โดยเฉพาะในโค้งสุดท้าย

ดีใจที่มีคนสนใจเรื่อง อบจ. หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดมากขึ้น แต่ความสนใจนั้นก็มีความซับซ้อนหลายเรื่องที่ต้องมาขบคิดต่อ

แม้ว่าจะมี อบจ.มานานแล้ว แต่ครั้งนี้น่าสนใจที่สุด เพราะว่ามันมีที่มาที่ไปหลายประการ

ในภาพรวมตามหลักวิชามันก็มีการศึกษาและพูดกันมานานแล้วว่า อบจ.เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สะท้อนถึงการที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากที่สุด ด้วยเหตุผลหลายประการ ตรงที่ว่าแม้จะมีพัฒนาการที่ยาวนาน แต่ทว่า อบจ.เองก็ดูจะเป็นหน่วยงานที่ขาดทั้งพื้นที่และอิสระจากกระทรวงมหาดไทยมากที่สุด

ADVERTISMENT

ในแง่ของการขาดพื้นที่ทำงานของ อบจ. ก็เพราะพื้นที่เขาซ้อนทับกับเทศบาลและ อบต. แต่ก็มีภารกิจที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงมันก็จะมีเงื่อนไขทางกฎหมายและความเป็นจริงหลายประการที่มีการแบ่งหน้าที่กันอยู่ และในอีกด้านหนึ่งการที่ทับพื้นที่กันก็เป็นคุณกับการสร้างระบบอุปถัมภ์ระหว่างการเมืองระดับ อบจ.และการเมืองระดับเทศบาลและ อบต. โดยเฉพาะ อบต.ที่ได้พึ่งพิงโครงการและงบประมาณบางอย่างที่ตนขาดแคลนมาในพื้นที่นี้

ส่วนอิสระของ อบจ.ก็เท่าที่รู้มา เพราะว่ามหาดไทยในบางยุคสมัยก็ยึดเอา อบจ.ไปเป็นของตัวเองด้วย เพราะผู้ว่าฯมานั่งเป็นนายก อบจ.อยู่นาน จนกระทั่งมีการปฏิรูปการเมืองเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว

ADVERTISMENT

ที่เขียนมาใครที่ติดตามภาพรวมของ อบจ.ก็คงจะพอทราบกันดี แต่ที่ไม่มีให้ข้อสังเกตคือพลวัตของ อบจ.ในรอบนี้มีความพิเศษในตัวของมันเองอยู่สองประการ

ประการแรก คือ เป็นการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งแรกเมื่อประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ หลังการลงจากตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และระบอบรัฐประหาร ในแง่นี้ การเลือกตั้ง อบจ.จึงเป็นการเลือกตั้งที่ค่อนข้างจะสู้กันสนุก เพราะว่าทุกฟากฝ่ายการเมืองก็ซัดกันนัว โดยไม่ได้มีเรื่องของอำนาจฝ่ายความมั่นคงมาเล่นด้วย และ อบจ.ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกอำนาจในการควบคุมท้องถิ่นเหมือนสมัย คสช. ที่ก่อนจะเลือกตั้งนั้นแช่ในกลุ่มอำนาจเดิมรักษาการยาวๆ เกือบแปดปี

แน่นอนว่าย่อมจะต้องมีฝักฝ่ายในการเมือง อบจ.ที่จะยืนข้างรัฐบาลกลางอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องของอิทธิพลในระดับปกติที่ไม่ได้เป็นสัญญาณของความผิดปกติในระบอบประชาธิปไตย ที่ความได้เปรียบเสียเปรียบยังพอมีอยู่บ้าง

ประการที่สอง คือ การเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้มีความน่าสนใจ เพราะถ้าจำกันได้ในช่วงโควิดนั้น เราเห็นภาพของบทบาทนายก อบจ.ที่ออกมานำเสนอว่างบประมาณของตนนั้นมีเงินสะสมที่เพียงพอในการจัดซื้อวัคซีนโควิดเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง ขณะที่ผู้ว่าฯที่เคยถูกมองว่ามีอำนาจมากที่สุดนั้นไม่สามารถทำงานในบทบาทนี้ได้เลย

แต่ก็อย่าลืมว่าคนที่จุดประเด็นนี้คือ บิ๊กแจ๊ส นายก อบจ.ปทุมธานี และก็เป็นผู้เปิดเกมที่เป็นนายก อบจ.คนแรกที่ลาออกก่อนหมดวาระ และทำให้เกิดแนวโน้มที่นายก อบจ.เกินยี่สิบจังหวัดนั้นลาออกตาม

และที่สำคัญต่อมาก็คือ ในการเลือกตั้งในรอบนี้มีการแก้กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องการเลือกตั้งที่สามารถหาเสียงโดยอิงกับพรรคการเมืองส่วนกลางได้ชัดเจนมากขึ้น ต่างจากคราวที่แล้วทำไม่ได้อย่างโจ่งแจ้ง

แต่ทั้งนี้ มันมีเรื่องของปัจจัยแทรกที่สำคัญหลังจากการเลือกตั้งใหญ่ในครั้งที่ผ่านมาเพิ่มเติม ก็คือเรื่องของการแตกกันของพันธมิตรฝ่ายต้านรัฐประหารของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน (ก้าวไกล) การกลับมาของคุณทักษิณ และการที่คุณพิธาถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็มีบทบาทสำคัญทำให้การเมืองท้องถิ่นรอบนี้เป็นเรื่องที่สื่อต่างๆ สนใจ เพราะว่ามันกลายเป็นเรื่องของสนามแห่งสงครามตัวแทนของการต่อสู้ของสองพรรคพันธมิตรต้าน คสช.เดิม

แต่ผมอาจจะคิดไม่เหมือนสื่อและนักวิเคราะห์ทั่วไปที่มองว่าการเลือกตั้งรอบนี้คือการดูว่าพรรคประชาชนจะได้เท่าไหร่ และเพื่อไทย/คุณทักษิณจะได้เท่าไหร่ เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่าแต่ไม่ถูกรายงานก็คือ สองพรรคนี้ลงไปในระดับท้องถิ่นด้วยตัวแบบของการเมืองเดียวกันหรือเปล่าต่างหาก?

ซึ่งผมคิดว่าไม่แน่ใจ ในตรงนี้ไม่ได้อยากจะให้คุณค่าฝ่ายไหนมากกว่ากัน แต่คิดว่าความตื่นตัวในการแข่งขันรอบนี้จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่เรื่องของชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

และเอาเข้าจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือในพื้นที่ที่ไม่มีการแข่งกันดุเดือดของสองพรรคนี้ อาจเป็นไปได้ไหมว่าพรรคอย่างภูมิใจไทยที่ไม่ประกาศตัว พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา จะยังรักษาพื้นที่และเครือข่ายของตัวเองมากน้อยแค่ไหน และนี่คือเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนส่วนกลาง โดยเฉพาะในมุมมองของคนเมือง โดยเฉพาะคนเมืองกรุงเทพฯที่ไม่ได้ไปเลือกอะไรกับเขา

ส่วนต่อมาที่อยากจะเขียนถึงก็คือ ไม่ว่าบ้านใหญ่จะชนะหรือแพ้เลือกตั้ง อย่าไปเชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้บ้านใหญ่หายไปโดยทันที หรือบ้านเมืองเขาไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่เช่นนั้นเราจะอยู่ในกรอบความคิดที่มองว่าบ้านใหญ่นั้นเป็นเป้าหมายของการเลือกตั้งในรอบนี้ โดยไม่เคยเข้าใจพลวัตของบ้านใหญ่ในความเป็นจริง

ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้สักแค่ไหน ผมยืนยันว่าบ้านใหญ่ไม่ได้เท่ากับการเลือกตั้งฉันใด

บ้านใหญ่ก็ไม่เท่ากับเจ้าพ่อฉันนั้น

มันมีพื้นที่เหลื่อมกัน แต่ว่าแต่ละที่ไม่ได้เหมือนกัน โครงสร้างอำนาจและการใช้อำนาจ รวมทั้งพลวัตของบ้านใหญ่ในแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด

ไม่งั้นเราจะหลงทางมองว่าบ้านใหญ่แพ้เลือกตั้งเท่ากับจบ บ้านใหญ่ชนะเลือกตั้งเท่ากับอยู่รอดและคงอำนาจ

สิ่งที่ควรสนใจจริงๆ คือกลยุทธ์ของบ้านใหญ่ พรรคการเมืองส่วนกลาง และตัวแสดงทางอำนาจต่างๆ ในพื้นที่ และตัวแบบการเลือกตั้งของผู้เลือกตั้ง

ครั้งนี้คือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง กลยุทธ์การเลือกตั้งและความตื่นตัวของประชาชนก็สำคัญ

สมมุติบ้านใหญ่ มันก็มีปัจจัยเช่นเขาแพ้กันเองก็ได้ ตัดคะแนนกันเอง

หรือถ้าชนะ บ้านใหญ่อาจจะชนะเพราะตัวผู้สมัครและกลยุทธ์ของพรรคประชาชนเองในพื้นที่นั้น ตั้งแต่การคัดผู้สมัคร และการทำงานร่วมกันเป็นทีมของผู้สมัครนายก อบจ. ส.อบจ. ส.ส.ในพื้นที่ และพรรคประชาชนไม่ได้สอดประสานกันก็ได้

หรือถ้าบ้านใหญ่ชนะ อาจไม่ได้แปลว่าบ้านใหญ่เขาคงอำนาจได้ แต่อาจหมายถึงว่าเขาผนึกอำนาจกันได้ระหว่างบ้านใหญ่มากขึ้น และยิ่งทำให้เห็นว่าการเข้ามาของพรรคประชาชนกลับไปสร้างเอกภาพของบ้านใหญ่หลายหลังในพื้นที่อีกต่างหาก

ไม่นับดินฟ้าอากาศ การบริหารการเลือกตั้งของ กกต.ในครั้งนี้ด้วย

คำถามที่สำคัญไม่ใช่แค่ความตื่นตัวของคนเมืองในแต่ละพื้นที่ และการเข้าถึงทะลุทะลวงของสื่อออนไลน์

คำถามที่เกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่คือ ในความเป็นจริงบ้านใหญ่รักษาอำนาจไว้ด้วยเงื่อนไขอะไรบ้างทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

ไม่ใช่การเมืองอย่างเดียว

และแม้จะเป็นเรื่องทางการเมือง กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่เช่น เขาย้ายทุนอย่างไร ปรับภาพลักษณ์อย่างไรเรียนรู้ในการเชื่อมโยงกับพื้นที่ใหม่ๆ อย่างไรคือสิ่งที่สำคัญ

ไม่ใช่ดูที่คะแนนเท่านั้น และไม่ใช่แค่ซื้อเสียงเท่านั้น

เพราะบางที่ก็ซื้อเสียงไม่ได้ทั้งหมด ตรงไหนซื้อได้ก็ไม่ได้ซื้อทั้งหมด และความซับซ้อนในการใช้เงินก็เป็นแค่ส่วนเดียว

การศึกษาส่วนนี้จะทำให้เข้าใจพลวัตการเมืองท้องถิ่นจากท้องถิ่นเองด้วย ไม่ใช่ศึกษาการเมืองท้องถิ่นเพื่อตอบคำถามเรื่องการเมืองภาพรวมอย่างเดียว

อย่ามองว่าการเมืองนอก กทม.เท่ากับการเมืองบ้านใหญ่ คือมันก็มีเรื่องอื่นที่ควรจะสนใจ เช่น ถ้าตัดเรื่องบ้านใหญ่เป็นตัวตั้ง แล้วสนใจคุยและนำเสนอเรื่องของการเมืองแต่ละจังหวัดโดยไม่ได้วิเคราะห์แค่พรรคและบ้านใหญ่ แต่ลองนำเสนอแบบเดียวกับการเลือกตั้งกรุงเทพฯที่เอาเรื่องของปัญหาพื้นที่และทางออกมาเป็นตัวหลักในการเดินเรื่อง เราจะเห็นเรื่องของการเลือกตั้งอีกแบบหนึ่ง และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจอีกแบบหนึ่งก็ได้

ใช่ว่า กทม.อาจจะไม่มีบ้านใหญ่ แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักในการมองการเมือง กทม. ทั้งที่พื้นที่หลายพื้นที่ก็สำคัญเช่นกัน

ถ้าเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง แล้วเอาบ้านใหญ่และบ้านไม่ใหญ่มาดูเป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่องค์ประทาน เอาพรรคการเมืองส่วนกลางเป็นองค์ประกอบไม่ใช่ประธาน อาจจะเห็นเรื่องอื่นๆ ในแต่ละจังหวัดที่เราได้เรียนรู้ระหว่างกันมากกว่าจากคะแนนเก่า จำชื่อบ้านใหญ่ จำชื่อความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง และอีเวนต์ที่พรรคการเมืองและผู้ช่วยหาเสียงชื่อดังต่างๆ ลงพื้นที่ได้มากขึ้นครับ

เดี๋ยวในสัปดาห์หน้าผมคงจะได้มีโอกาสให้ข้อสังเกตในเรื่องของผลการเลือกตั้งและอนาคตของการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติว่าเชื่อมโยงกันแค่ไหนอีกทีหนึ่งครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image