ที่เห็นและเป็นไป : ทางตัน ‘เพื่อไทย’

ที่เห็นและเป็นไป : ทางตัน‘เพื่อไทย’

การเมืองช่วงนี้ถือเป็นความยุ่งยาก

ที่ต้องประสบความยุ่งยากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย

หากเป้าหมายอยู่ที่ชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่ 2570 ถึงวันนี้ชัดเจนแล้วว่าอุปสรรคมากมาย กระทั่งที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ลดเป้าลงมาแล้วเหลือแค่ 200 เก้าอี้ จากที่เคยมุ่งมั่นว่าจะแลนด์สไลด์ แนวโน้มล่าสุดดูจะต้องตอบคำถามอีกมากมาย

ADVERTISMENT

ชัยชนะการเลือกตั้งที่ต้องอาศัยฐาน 2 ส่วนคือ

หนึ่ง เครือข่ายฐานเสียงแบบจัดตั้งที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนระบบอุปถัมภ์ในทุกรูปแบบ หลังการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งทั้งที่ “ทักษิณ” ชักธงรบด้วยตัวเองเต็มที่ กลับเป็นที่รับรู้กันว่าไม่เป็นอย่างที่หวัง หลายพื้นที่ชัดเจนว่าชั้นเชิงการเมืองที่เล่นแบบเงียบๆ แต่เอาตายของพรรคภูมิใจไทยช่วงชิงชัยชนะได้อย่างเหมือนไม่ต้องออกแรงอะไรมากนักเสียด้วยซ้ำ

ADVERTISMENT

ที่สำคัญคือ “ภูมิใจไทย” กระจายการเข้าถึงความร่วมมือของ “บ้านใหญ่” ได้ทุกภาคทั่วประเทศ ขณะที่ “เพื่อไทย” ยังเดินได้แค่ภาคอีสานกับภาคเหนือเป็นหลัก

สำหรับ “บ้านใหญ่” ที่ดูแลตัวเองได้ ซึ่งมีไม่น้อย การเลือกว่าจะอยู่กับใครคือประเมินเอาตอนใกล้ๆ เลือกตั้งว่าอยู่กับใครแล้วมีโอกาสในอำนาจมากกว่า

สอง ฐานคะแนนที่ได้จากกระแสความเชื่อถือศรัทธา เป็นฐานเสียงที่ไม่มีความแน่นอนอย่างที่สุด เชื่อกันว่าหลังตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว” พรรคเพื่อไทยต้องทำงานหนักเพื่อฟื้นฟูฐานคะแนนส่วนนี้ ในช่วงเลือกตั้ง อบจ. ขณะ “ทักษิณ” เดินสายหวังยึดครองบ้านใหญ่ อีกทางหนึ่งคือเดินหน้าฟื้นเครือข่าย “เสื้อแดง” โดยใช้งาน “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ติดสอยห้อยตามไปทุกหนแห่งเต็มที่

เท่าที่ฟังในช่วงนั้นได้ผลในระดับหนึ่ง มีการสร้างเครือข่ายเสื้อแดงขึ้นเพื่อบริหารจัดการกันใหม่อยู่พอสมควร

ทว่าถึงวันนี้ เกมแก้รัฐธรรมนูญเป็นคำถามหนักให้กับ “คนเสื้อแดง” ที่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ติดตามการเมืองใกล้ชิด และอ่อนไหวต่อการเมืองเชิงอุดมการณ์ อยู่ไม่น้อย

คำพูด และท่าทีแบบ “อ้าปากเห็นทะลุไปถึงตับไตไส้พุง” เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาในการเคลียร์ แม้จะเป็นนักโน้มน้าวระดับ “เต้น-ณัฐวุฒิ” ก็เถอะ

นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่แก้ยาก

ยิ่งเกมถูกบังคับให้เล่นกันเลยเถิดไปถึง “การใช้ดีเอสไอล้ม ส.ว.” และใช้ “กระทรวงเกษตรฯเล่นงานโฉนดที่ออกในเขตหวงห้าม” ที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ถึงกับใช้คำว่า “หากเป็นการเมือง ก็เป็นเรื่องหน้าตัวเมีย”

นับจากนี้การพูดคุยกันโดยไม่ถือมีดแอบไว้ข้างหลังดูจะเป็นเรื่องยาก

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องเป็นเรื่องตายในความคาดหวังของฐานกระแสที่มีต่อพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล แต่ถูกพรรคภูมิใจไทยหักแบบไม่ไว้หน้า ชนิดให้เห็นกันชัดๆ ว่า ใน “รัฐสภา ใครใหญ่กว่าใคร”

“พรรคที่กุมเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติคือใคร”

หากเป็นการเมืองเมื่อก่อน เมื่อพรรคแกนนำรัฐบาลต้องเผชิญกับความยุ่งยากเช่นนี้ คง “ยุบสภา” ไปแล้ว เพื่อเป็นบทเรียนให้พรรคร่วมทบทวนตัวเอง

แต่ ณ วันนี้ ที่จะต้องคิดหนักคือ “พรรคแกนนำรัฐบาล” เอง ด้วยเหตุผลที่ต่างรู้กันว่า แนวโน้มไปในทางที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย

การเมืองที่เป็นเบี้ยล่างในเกมกำหนดทิศทางอำนาจ

เศรษฐกิจที่ยังโงหัวไม่ขึ้นในทุกมิติ ทางการคลังที่หนี้สินล้น ช่องทางหารายได้รัฐตีบตัน ทางการเงินที่ข้าวของแพง ค่าแรงต่ำ ธุรกิจล้มระเนระนาดให้เห็นทุกวัน ขณะที่ต้องรับมือกับสงครามการค้าโลกที่ผันผวนรวดเร็ว ในสภาพที่ไม่มีสมาธิเพราะถูกกดดันจากแรงต้านรอบตัว

แม้ทุกพรรคพร้อมจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ เพราะเชื่อในฐานคะแนนในแนวทางของตัวเองว่ายังแน่นอน

แต่ “พรรคเพื่อไทย” พูดได้เต็มปากหรือว่าพร้อม

และนั่นหมายความว่า นับจากนี้การเมืองแบบ “ได้ทีขี่แพะไล่” จะกดดันพรรคเพื่อไทยให้ตั้งตัวไม่ติดหนักขึ้น

จะแก้ได้ต้อง “กล้าหาญเล่นใหญ่” ให้เห็นเท่านั้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image