
ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
พระเจ้าอู่ทอง ประทับชั่วคราวอยู่เวียงเหล็ก เพื่อสร้างพระนครศรีอยุธยา เมื่อพระนครสร้างเสร็จได้ถวายเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธสวรรย์
[ชื่อ เวียงเหล็ก น่าจะเกี่ยวข้องกับเหล็กที่พระเจ้าอู่ทองเสวย มีบอกในคำให้การชาวกรุงเก่า เล่าว่าพระเจ้าอู่ทองกินเหล็ก โดยขูดเป็นผงเอาไปตำให้แหลกละเอียด แล้วคลุกเครื่องกระยาหาร]
เวียง เป็นคำตระกูลไต-ไท หมายถึงศูนย์อำนาจ (หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์) อยู่ในเมืองที่ล้อมรอบเป็นขอบเขตเฉพาะด้วยคันดิน หรือ กำแพง
หลังรับอินเดียจึงมีความหมายกว้างกว่าเดิม ใช้เรียกบริเวณที่มีพระธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางก็ได้ ในล้านนาเรียกเวียงพระธาตุ เช่น เวียงพระธาตุลำปางหลวง (จ. ลำปาง)
[เชียง เป็นคำตระกูลไต-ไท หมายถึง เมือง โดยไม่เน้นกายภาพว่ามีกำแพงล้อมรอบ จะมีหรือไม่มีกำแพงก็ได้ แต่มักมีเวียงเป็นแกนอยู่ในเชียง ความเชื่อดั้งเดิมว่าต้องมีดงไม้ใหญ่เป็นที่อยู่ของผีบ้านผีเมือง]
พุทไธศวรรย์ ชื่อวัดมีคำถาม?
“พุทไธศวรรย์” มีในวรรณกรรมยุคต้นอยุธยา ยวนพ่าย (โคลงดั้น) กวีหลายคนร่วมกันแต่งยอพระเกียรติพระบรมไตรโลกนาถ
พรรณนาถึงเหตุการณ์เมื่อประทับ (รับศึกเมืองเชียงใหม่) อยู่ที่เมืองพิษณุโลก ว่าทรงมีกรณียกิจทางการเมืองหลายอย่าง เช่น ทรงผนวช, ลาผนวช, สร้างวัด, สร้างกำแพงเมืองพิษณุโลก (โคลงบท 76-80) มีโคลงบทหนึ่งว่า
ปางสร้างอาวาศแล้ว ฤาแสดง
คือพุทไธศวรรย์หมาย ชื่อชี้
ปางถกลกำแพงพระ พิษณุ แล้วเฮย
อยู่ช่างพระเจ้าฟี้ เฟื่องบร
ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ นักปราชญ์สยามบอกไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ว่า
“วัดพุทไธศวรรย์มีมาก่อนแล้ว และอยู่ที่อยุธยา มิได้อยู่ที่พิษณุโลก ยวนพ่าย บทที่ 80 ก็ว่าได้ทรงสร้างพระอาวาศขึ้น แล้วพระราชทานชื่อว่า วัดพุทไธศวรรย์ หรือว่า วัดพุทไธศวรรย์มีที่พิษณุโลกอีกวัดหนึ่ง ขอฝากให้นักโบราณคดีช่วยกันพิจารณา”
[ยวนพ่ายโคลงดั้น โดย ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ถอดความ แปลศัพท์ และอธิบาย พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2513 หน้า 137-138]
ยวนพ่าย (โคลงดั้น) แต่งร่วมสมัยเรือน พ.ศ. 2000 ไม่บอกว่าพระบรมไตรฯ ทรงผนวชที่วัดชื่ออะไร? ไม่บอกเรื่องสร้างวัดจุฬามณี แต่บอกชัดเจนว่าสร้างวัดพุทไธศวรรย์ ที่เมืองพิษณุโลก
วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก มีชื่อในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ แต่งสมัยพระนารายณ์ หลังเหตุการณ์จริงราว 200 ปี หรือหลัง พ.ศ. 2200 น่าสงสัยว่ามีเปลี่ยนแปลง หรือสลับกัน ระหว่างชื่อวัดพุทไธศวรรย์ กับวัดจุฬามณี ต้องตรวจสอบใหม่อย่างถี่ถ้วน แต่เกินสติปัญญาที่ผมจะทำได้
พระเจ้าอู่ทองกินเหล็ก
เทพยดาอารักษ์ประกาศว่า ผู้ใดจะสร้างพระนครลงที่หนองดสนต้องมีฤทธิ์ 2 อย่าง (1.) กินเหล็กได้ (2.) ยิงลูกศรไป ลูกศรกลับมาหาเองไม่ต้องใช้คนไปเก็บ
พระเจ้าอู่ทองให้ “กรางเหล็กแท่งหนึ่งออกตำให้แหลกเป็นผงกรองโดยละเอียด” (กราง แปลว่า ขัดถูด้วยตะไบหรือหางกระเบนให้เป็นผง) แล้วใส่คลุกลงในเครื่องพระกระยาหาร ผงเหล็กคลุกข้าวมีรสอร่อย เสวยทุกเวลาและเสวยได้มาก แล้วกลายเป็นโอสถวิเศษให้มีพระฉวีวรรณงามผ่องใสขึ้นกว่าเก่า
พระเจ้าอู่ทอง เสด็จประทับตำหนักน้ำ แล้วแผลงศรยิงไปในทางเหนือน้ำ ลูกศรตกน้ำ แล้วลอยตามน้ำมา พระองค์ทรงกั้นไว้ด้วยคันศร ลูกศรก็เลื่อนลอยเข้ามาหาสู่แล่งศรที่ถือในพระหัตถ์ ไม่ต้องใช้คนไปเก็บ
พื้นที่บรรพชน
พระเจ้าอู่ทองเมื่อสร้างพระนครศรีอยุธยาสำเร็จแล้ว ก็ย้ายไปอยู่พระราชวังแห่งใหม่ ส่วนเวียงเหล็กถวายเป็นวัดพุทไธศวรรย์
แต่ยังมีความหมายในทางศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่บรรพชนจนถึงสมัยหลังๆ ดังให้มีเฉลิมฉลองขอขมาผีบรรพชน เมื่อถึงเดือน 12 เพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ในพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงราชอาณาจักร
กฎมณเฑียรบาลกำหนดว่าพระราชพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคมส่งน้ำ พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงเรือพระที่นั่ง แล้วล่องไปทำพิธีส่งน้ำ (หมายถึง ขอให้น้ำลด เพื่อชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวในนาที่น้ำท่วม) พร้อมด้วยพระอรรคมเหสี, แม่หยัวเมือง, ลูกเธอหลานเธอ ฯลฯ
ครั้นถึงวัดพุทไธศวรรย์เสด็จขึ้นทอดพระเนตรการละเล่น มีจุดดอกไม้ไฟ มีเล่นหนังใหญ่ (เรื่องรามเกียรติ์)
คืนเดียวกันนี้มีเล่นหนังใหญ่ในวังหลวงด้วย แสดงถึงความสำคัญของเวียงเหล็กเสมอด้วยวังหลวงของราชอาณาจักร จะเห็นอีกว่าเวียงเหล็กกับวังหลวงอยู่แนวเดียวกันเหนือ-ใต้
พระเจ้าอู่ทองในนิทาน
พระเจ้าอู่ทอง มีตำนานนิทานบอกเล่าสืบต่อตกทอดมากมายหลายสำนวน ล้วนเป็นที่รู้จักตามท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องนั้นๆ
มีสำนวนหนึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้แพร่หลาย ว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นเทพารักษ์ แต่มักแปลงตัวเป็นหนุ่มรูปงาม ไปสมสู่กับสตรีชาวบ้านร้านตลาด ต่อมาถูกขอร้องให้บวช เลยกลายเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ จะคัดคำบอกเล่านั้นมาดังนี้
“คุณแม่เครือวัลย์ จบกระบวนยุทธ์ มารดาท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อสมัยท่านเป็นเด็ก คุณยายท่านเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยนั้นเทพารักษ์พระเจ้าอู่ทองเป็นที่ครั่นคร้ามของชาวเมืองมาก
เล่ากันว่าท่านมักปรากฏตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามไปสมสู่กับสตรีชาวบ้านร้านตลาด เจ้าคุณวัดพุทไธสวรรย์ท่านได้อัญเชิญเทพารักษ์มาและขอร้องให้บวชเสีย เทพารักษ์ก็ยินยอม แต่นั้นข่าวฤทธิ์เดชของท่านก็เงียบไป
ทุกวันนี้ชาวพระนครศรีอยุธยาจำนวนมากก็ยังเคารพสักการะในฐานที่เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีทุกข์ก็บนบานศาลกล่าวให้ช่วยคุ้มครอง”
[ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ในข้อเขียนคัดมาคือ ภริยาจอมพล ถนอม กิตติขจร จากบทความเรื่อง “พระบรมราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี” โดย จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิมพ์ในหนังสือ อนุสรณ์สมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีศรีสินทรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว เป็นที่ระลึกงานเสด็จทรงเปิดพระราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2513 หน้า 4]
เจ้าอู่ เมืองจีน
โครงเรื่องนิทานพระเจ้าอู่ทองทำชู้ ยังมีในคำบอกเล่าของขุนนางข้าราชการสมัยพระเจ้าปราสาททอง ยุคอยุธยา ต่อมา วัน วลิต (พ่อค้าฮอลันดา) จดไว้ มีความโดยย่อดังนี้
จักรพรรดิจีนมีโอรสองค์หนึ่ง ชื่อ เจ้าอู่ เป็นเจ้าชายตัณหาจัด มักทำชู้สู่สมภรรยาขุนนางจีน จนจักรพรรดิจีนให้เนรเทศลงสำเภาปล่อยไปขึ้นบกในสยาม แล้วสถาปนาอยุธยา จะคัดส่วนหนึ่งมาดังนี้
“มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งซึ่งปกครองแว่นแคว้นหลายแว่นแคว้นในประเทศจีน (ชาวสยามไม่ทราบพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้) พระองค์มีโอรสองค์หนึ่งพระนามว่าเจ้าอู่ ซึ่งเป็นเจ้าชายที่ตัณหาจัด ข่มเหงภรรยาขุนนางจีนสำคัญๆ ไปหลายคน หญิงคนใดที่ไม่ยอมให้พระองค์ข่มเหงก็จะถูกฆ่าตายอย่างลึกลับ
ขุนนางเหล่านี้ได้เข้าร้องเรียนพระเจ้าแผ่นดินถึงความประพฤติตัวไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของพระราชโอรส และขู่จะถอดถอนพระเจ้าแผ่นดินออกจากราชบัลลังก์ ถ้าหากพระองค์ทรงปฏิเสธไม่ปลงพระชนม์พระราชโอรสเสีย
พระเจ้าแผ่นดินทรงยินยอม และตั้งใจที่จะปลงพระชนม์พระราชโอรส
แต่สมเด็จพระราชินี (พระมารดาของเจ้าชายที่ถูกกล่าวหา) ทรงคัดค้าน และเห็นว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้พระราชโอรสออกนอกประเทศ
พระเจ้าแผ่นดินทรงยินยอม และได้เล่าความคิดนี้แก่พวกขุนนาง พวกขุนนางก็พออกพอใจ และเห็นด้วยกับพระองค์—–
พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานเรือสำเภาหลายลำ พร้อมทั้งเสบียงมากมาย เช่น ข้าว อาวุธยุทธภัณฑ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการเดินทางไกลให้แก่พระราชโอรส พระองค์ยังพระราชทานข้าราชบริพารให้อีก 200,000 คน และของมีค่าต่างๆ”
[พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182 (สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ) สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ. 2548 หน้า 12]
เซอร์กาลาแฮด อังกฤษ
พระเจ้าอู่ทองทำชู้ นิทานนี้ อ. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยกไปขยายเทียบกับ เซอร์กาลาแฮด (อัศวินของพระเจ้าอาเธอร์) เมื่อตายไปวิญญาณของเซอร์กาลาแฮดทำชู้กับลูกสาวชาวบ้านที่ต้องการความสุขทางเพศรส
[อยู่ในบทความเรื่อง “พระเจ้าอู่ทอง กับเซอร์กาลาแฮด” ของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ พิมพ์ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 1 ฉบับที่ 7 (พฤษภาคม 2523) หน้า 6-9]