เงินเหรียญบิท : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดในทุกสายวิชาการ แม้แต่ในสายเศรษฐศาสตร์และการเงิน มนุษย์รู้จักสร้างสิ่งที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของและบริการโดยตรง ซึ่งอาจจะเรียกอะไรก็ได้แค่ให้เป็นที่ยอมรับของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เช่น เกลือก็เคยถูกใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน จากเกลือก็กลายเป็นเงิน ต่อมาก็ใช้โลหะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เช่น สัมฤทธิ์ เงิน หรือทองคำ ล้วนแต่เคยถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาก่อน

จากการใช้วัสดุสิ่งของก็เปลี่ยนมาใช้โลหะ ต่อมาก็มีผู้รับฝากโลหะที่ยอมรับเป็นเงินแล้วก็ออกหนังสือรับฝากให้กับผู้มาฝาก ผู้มาฝากอาจจะนำใบรับฝากมาเบิกโลหะเงินหรือโลหะทองเมื่อใดก็ได้ โดยผู้รับฝากคิดค่าธรรมเนียมในการรับฝาก

ต่อมาใบรับฝากที่ออกให้โดยผู้รับฝากที่คนในสังคมนั้นๆ ยอมรับ ก็สามารถสลักหลังโอนให้กับบุคคลที่สามได้ ผู้รับฝากโลหะดังกล่าวต่อมาก็พัฒนามาเป็นธนาคารพาณิชย์ หนังสือที่ธนาคารออกให้แทนโลหะเงินหรือโลหะทองก็เรียกว่า “บัตรธนาคาร” หรือ “bank note” แต่บ้านเราเรียก “ธนบัตร” เพราะเป็นบัตรที่ออกโดย “รัฐบาลไทย” โดยมีเงินสกุลหลักและทองคำหนุนหลัง

เมื่อธนาคารพาณิชย์ออกบัตรธนาคารได้ แต่เพื่อความมั่นใจและมั่นคงสมาคมธนาคารในยุโรปก็จะมอบให้ธนาคารหนึ่งเป็นธนาคารกลาง ธนาคารกลางมีธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสมาชิกเป็นผู้ถือหุ้น และเป็นที่ที่ธนาคารพาณิชย์นำโลหะเงินหรือทองมาฝาก เป็นธนาคารผู้ผลิตเหรียญเงินหรือเหรียญทองออกมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

Advertisement

ไทยเราก็เคยใช้โลหะเงินและหอยเบี้ยเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ต่อมาก็นำโลหะเงินมาตัดเป็นท่อนตีตลบซ้ายทีขวาทีแล้วประทับตรารัชกาลเรียกว่าเงินพดด้วง ทางลาวเรียกว่าเงิน “ในหมากค้อ” หรือ “เม็ดลูกค้อ” ค้อเป็นต้นไม้ยืนต้นที่มีเมล็ดเหมือนเงินพดด้วง

เมื่อไม่นานประมาณ 100 ปีมานี้เอง ธนาคารที่ได้รับมอบหมายก็จะออก “บัตรธนาคาร” ที่มีมูลค่าต่างๆ เช่น 1 ปอนด์ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ จนถึง 100 ปอนด์ และส่วนย่อยของปอนด์ก็ออกเป็นเหรียญโลหะเงิน ประเทศต่างๆ ก็ทำตาม ออกโดยธนาคารกลางโดยธนาคารผู้ออกบัตรธนาคารหรือแบงก์โน้ต สัญญาว่าจะจ่ายให้กับผู้เรียกร้องเป็นโลหะเงินหรือทอง จำนวนที่กำหนดค่าเงินสกุลปอนด์ก็มีทองคำหนุนหลัง เรียกว่าระบบมาตรฐานทองคำ

ต่อมาเมื่ออังกฤษไม่สามารถหาทองคำมาหนุนหลังธนบัตรได้ ก็ประกาศออกจากมาตรฐานทองคำ เงินสกุลต่างๆ ก็ประกาศออกจากมาตรฐานทองคำด้วย รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสหรัฐต้องขาดดุลงบประมาณมากๆ ติดต่อกันหลายปีในการทำสงครามเวียดนาม

Advertisement

เมื่อเทคโนโลยีของระบบธนาคารเจริญขึ้น จนการทำธุรกรรมทางการเงินไม่ต้องทำโดยพนักงานธนาคาร แต่ทำผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จนเกิดคำว่า e-banking หรือระบบธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การโอนเงินเพื่อชำระค่าสิ่งของหรือค่าบริการไม่จำเป็นต้องใช้ธนบัตรหรือบัตรธนาคารเลย ความต้องการถือธนบัตรก็ลดลง จนธนาคารกลางของสวีเดนประกาศยกเลิกการพิมพ์ธนบัตรหรือบัตรธนาคาร ทุกคนจะถือบัตรเงินฝากธนาคารแทนแล้วจ่ายโอนเงินทางบัญชีธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ผ่านตู้เอทีเอ็ม

ในกรณีอย่างนี้ การโอนเงินไปมาก็มีหลักฐานทางบัญชีและตรวจสอบได้หมด ธุรกรรมใต้ดินก็ดี ธุรกรรมผิดกฎหมายก็ดี ที่เคยใช้ธนบัตรหรือบัตรธนาคารก็ทำไม่ได้ จะทำก็ต้องใช้เงินธนบัตร เงินตราต่างประเทศสกุลอื่นที่ยังมีการพิมพ์ธนบัตรอยู่ เช่น เงินยูโร เงินปอนด์สเตอริง หรือเงินดอลลาร์ เป็นต้น

การชำระหนี้กันด้วยธนบัตรจำนวนมากๆ ก็มีความยุ่งยากในการขนส่ง เช่น การจ่ายเงินสินบนเพื่อให้ได้สัญญาซื้อเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์
เงินจำนวนมากๆ หากจะชำระโดยโอนเงินผ่านธนาคารทางการก็อาจจะตรวจสอบได้ เพราะเป็นการให้สินบนซึ่งผิดกฎหมาย ถ้าต้องจ่ายเป็นเงินสดเป็นธนบัตรก็ยุ่งยากในการจัดหาและการขนส่ง มีค่าใช้จ่ายสูง สมัยใหม่นี้มีการสร้างเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือ e-currency ขึ้น เป็นละมุนภัณฑ์หรือ software โดยการตกลงกันในบรรดาผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกของชุมชนที่ยอมรับเงินที่ถูกสร้างขึ้นจากละมุนภัณฑ์คอมพิวเตอร์ เรียกว่าบิทคอยน์ หรือเหรียญบิท

บิทคอยน์เป็นเงินที่ไม่มีตัวตนอย่างเหรียญกษาปณ์หรือธนบัตร เกิดจากการรวมกลุ่มสมาชิกที่ยอมรับกติการ่วมกันมาทำสัญญาใช้ละมุนภัณฑ์หรือ software ที่ลงตัวหรือ solution ร่วมกัน ผู้ริเริ่มเป็นใครไม่มีใครทราบ เชื่อกันว่าเป็นชาวยิวแต่อ้างว่าเป็นออสเตรเลียแล้วใช้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ซาโตชิ นากาโมโต Satoshi Nakamoto เริ่มต้นสร้างบิทคอยน์หรือเหรียญบิทขึ้น 1 ล้านเหรียญ แล้วขายออกไป 9 แสนเหรียญ ในราคาเหรียญละ 20 ดอลลาร์ ซึ่งค่าใช้จ่ายในการสร้างละมุนภัณฑ์แต่ละเหรียญก็ใกล้เคียงกับราคาที่จำหน่ายออกไปและมีกำไรเล็กน้อย

ผู้ที่ต้องการซื้อเมื่อแจ้งรหัสที่จะประกาศในที่สาธารณะหรือเรียกว่า public key และเก็บรหัสส่วนตัวไว้เพื่อจับคู่ในการโอนหรือรับเหรียญบิท รับมอบกันเข้ามาไว้ในกระเป๋าเงินหรือ wallet ในระบบคอมพิวเตอร์ เหรียญบิททั้งหมดอยู่ในคอมพิวเตอร์ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้

ผู้ที่ต้องการเหรียญบิทต้องเข้าชื่อรอการผลิตบิทคอยน์จากคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ต้องการขาย แหล่งผลิตเหรียญดังกล่าวเรียกว่าเหมือง หรือ mines คอมพิวเตอร์จะผลิตบิทคอยน์ได้ทั้งหมดเพียง 26 ล้านเหรียญ เท่านั้น เพราะคอมพิวเตอร์มีขนาดที่จะจัดการได้เท่านั้นในขณะนี้ ดังนั้น จากจุดเริ่มต้น 1 ล้านเหรียญบิท ราคาเหรียญบิทละ 20 ดอลลาร์ เมื่อมีคนต้องการมากขึ้นราคาเหรียญก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อราคาเหรียญเพิ่มขึ้นก็คุ้มที่จะสร้างเหรียญบิทมากขึ้น เหมือนกับทองคำที่มีต้นทุนการทำเหมืองที่แพงแต่มีความต้องการที่สูง ผู้ทำเหมืองทองจึงกำไร พอทำไปนานเข้าต้นทุนสำหรับเหมืองแต่ละแหล่งก็สูงขึ้นจนต้องเลิก แต่ในกรณีเหรียญบิท เมื่อมีเหรียญมากขึ้นต้นทุนสูงขึ้นจนไม่มีกำไร เข้าใจว่ามีจำกัดเพียง 26 ล้านเหรียญบิททั่วโลกก็ต้องหยุดการสร้าง software ใหม่ ราคาของเหรียญบิทจากเหรียญละ 20 ดอลลาร์ ขณะนี้มีราคาสูงถึงกว่า 900 ดอลลาร์ต่อ 1 เหรียญบิท และเคยสูงถึง 1,283.13 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ เมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้เอง

การประกาศซื้อขายจ่ายเป็นเงินบาทก็ทำได้ ถ้ายอมรับเงื่อนไขในข้อตกลง ผ่านทางเว็บไซต์คอมพิวเตอร์หรือมือถือ ผ่านทางรหัส key cryptography เสมือนเป็นลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ digital signature

การสร้างเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือบิทคอยน์ ที่ไม่มีสถาบันผู้ออก ไม่มีชื่อเจ้าของบัญชี แต่ยืนยันและตรวจสอบได้โดยเว็บไซต์ของบริษัท บิทคอยน์
จำกัด หรือ https://www.bitcoin.com/ สมาชิกผู้ใช้ต้องรับผิดชอบตัวเอง เช่น ทำเหรียญบิทหายหาไม่เจอเพราะกดแป้น key ผิด จะขอแก้ก็ไม่ได้ ขอคืนก็ไม่ได้ ขอให้ออกใหม่ก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าไปอยู่ในกระเป๋าเงินหรือ wallet ของใคร มีรหัสส่วนตัวที่เป็นความลับเฉพาะเจ้าของเหรียญบิท เหมือนรหัสส่วนตัวเมื่อต้องการกดตู้เอทีเอ็มซึ่งจะต้องสอดคล้องกับรหัสในแถบแม่เหล็กในบัตร หรือ “public key” ที่เปิดโดยธนาคารเจ้าของบัตร ที่รู้ว่ามีรหัสหรือ cryptography อะไร

การสร้างเงินบิทจากละมุนภัณฑ์คอมพิวเตอร์ ผู้เป็นเจ้าของคนแรกก็จะได้ประโยชน์จากการขายเหรียญบิทไป จากนั้นเงินเหรียญบิทก็เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ไม่มีตัวตน แต่มีการรับมอบการส่งมอบจากบัญชีหรือ wallet หนึ่งไปสู่บัญชีหนึ่ง โดยเจ้าของบัญชีมีรหัสบอกและมีรหัสส่วนตัว ซึ่งจะแจ้งให้ผู้ส่งมอบและผู้รับมอบเป็นคราวๆ ไปเท่านั้น เมื่อรายการได้รับการยืนยันรหัสนั้นก็จบไป เจ้าของบัญชีก็สร้างรหัสใหม่ที่เป็นความลับเหมือนกับลายมือชื่อ ทำให้อำนาจรัฐที่จะควบคุมการโอนเงินชนิดนี้เพื่อการฟอกเงินหรือการรับจ่ายสำหรับกิจกรรมใต้ดิน ไม่สามารถควบคุมหรือตรวจสอบได้เลย เหรียญบิทขณะนี้จึงเป็นคู่แข่งของเงินดอลลาร์และมีมูลค่ามั่นคงกว่าเงินดอลลาร์ เพราะปริมาณเงินดอลลาร์นั้นรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐสามารถเพิ่มปริมาณได้ตามแต่นโยบาย แต่เงินบิทคอยน์ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการประเทศใด ไม่มีใครเป็นเจ้าของ

เมื่อไม่นานมานี้ทางการประเทศสวีเดนประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตร ใช้เงินพลาสติกหรือบัตรโอนเงินจากบัญชีธนาคารที่ตนมีเงินฝาก ไปยังบัญชีของผู้ที่ตนต้องการจ่ายเงิน เพื่อกิจการใดกิจการหนึ่ง ไปสู่บัญชีของบุคคลอื่นที่มีบัญชีในธนาคารเดียวกันหรือต่างธนาคารก็ได้ ในกรณีอย่างนี้เงินรับจ่ายใต้ดินสำหรับกิจการที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเคยทำโดยการรับจ่ายธนบัตรหรือบัตรธนาคารก็ทำต่อไปไม่ได้ โดยหวังว่าจะเป็นการปราบกิจการที่ผิดกฎหมายไปในตัว ถ้ากิจการเหล่านี้จะทำก็ต้องทำผ่านธนบัตรของประเทศอื่น เช่น ธนบัตรเงินดอลลาร์ ยูโร หรือปอนด์ ต่อไปนี้ก็จะสะดวกยิ่งขึ้นถ้าจ่ายเป็นบิทคอยน์หรือเหรียญบิท ที่มีราคาขึ้นลงตามความต้องการมากน้อยของตลาด เพราะเหรียญบิททั้งโลกมีปริมาณจำกัด นอกจากจะสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ให้มีพลังการเก็บการโอนข้อมูลส่วนกลางและส่วนตัวให้ใหญ่และมีราคาถูกกว่านี้ เพื่อสามารถเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเหรียญบิทได้ในราคาไม่แพงเกินไป

ขณะนี้เงินเหรียญบิทสามารถแลกเป็นเงินบาทและสกุลต่างๆ ได้ หรือถูกใช้เพื่อรับจ่ายเงินใต้ดินที่ไม่มีชื่อเจ้าของบัญชีหรือกระเป๋าเงิน wallet ตรวจสอบไม่ได้ เครือข่ายจะอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ได้ หรือที่ไหนไม่มีใครทราบ โดยระบบดิจิทัลที่อยู่นอกเครือข่ายของรัฐบาล แต่เป็นระบบใต้ดินที่ไม่มีใครเจาะข้อมูลส่วนตัวของแต่ละกระเป๋าเงินหรือ wallet ของใครได้ ใช้ควบคู่กับเงินบาทหรือกับทุกสกุลเงินในบัญชีธนาคารโดยไม่ต้องใช้ธนบัตร

ถึงตอนนั้นการควบคุมและการปราบปรามการค้ายาเสพติด การโอนเงินเพื่อการก่อการร้าย การโอนเงินเพื่อซื้อเสียง คงทำได้ยากขึ้น จนทำไม่ได้เลยก็ได้
ใครจะไปรู้

 

วีรพงษ์ รามางกูร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image