ที่มา | คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
เผยแพร่ |
เวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในสังคม เรามักจะเห็นทั้งความดีงามของมนุษย์และทั้งอคติเลวร้ายที่น่าสลดใจ
เมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งเกิดเหตุก่อการร้ายโดยชาวอังกฤษหนึ่งคนขับรถไล่พุ่งชนคนแล้วตรงดิ่งไปแทงนายตำรวจดับนอกอาคารเวสต์มินสเตอร์ ใจกลางกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 22 มี.ค. นอกจากจะเห็นมุมดีๆ ของเพื่อนมนุษย์ที่ให้กำลังใจกันแล้ว ก็ยังเห็นความใจร้ายด้วย
ตัวอย่างหนึ่งคือการรุมถล่มหญิงสาวมุสลิมผู้ปรากฏในภาพถ่ายเหตุการณ์จังหวะเดินผ่านผู้บาดเจ็บนอนอยู่กับพื้น
ภาพช็อตนี้หญิงสาวถูกนำมาโจมตีในโลกออนไลน์ทั้งในยุโรปและอเมริกา ว่าไร้น้ำใจ ไม่รู้สึกรู้สากับคนอื่นในสังคม มัวแต่จ้องโทรศัพท์ และบ้างโจมตีลามไปถึงประเด็นทางศาสนาด้วย
คำว่าภาพหนึ่งภาพแทนคำเป็นล้านคำ สำหรับกรณีนี้แล้วกลับออกมาเป็นภาพหนึ่งภาพก่อให้เกิดการกล่าวหาได้เป็นล้านคำ
เจมี ลอร์รีแมน ช่างภาพผู้ถ่ายภาพนี้รีบออกมาอธิบายว่า หญิงสาวในภาพถูกตีความผิดๆ เหตุการณ์จริงไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิดไปเอง
หญิงสาวคนนี้ตกอยู่ในอาการตกใจสุดขีดจนทำอะไรไม่ถูก เป็นอาการที่เหมือนกันอีกหลายๆ คนที่วิ่งหนีมาจากสะพานจุดเกิดเหตุ และหวั่นว่าจะมีภัยอยู่รอบตัว พฤติกรรมของเธอเป็นเหมือนกับทุกคนที่สะพาน แต่คนอื่นไม่ถูกรุมกล่าวหาอย่างโหดร้ายแบบนี้
ช่างภาพคิดว่า ความเกลียดชังนั่นเองที่เป็นตัวแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นสีผิว หรือศาสนา ไม่ว่าคนนั้นเกลียดชังอะไร พอมีเรื่องเข้ามาก็จะใช้สิ่งที่พบเห็นเป็นอาวุธเพื่อความคิดของตัวเอง
กรณีนี้ดูจะไม่แตกต่างจากเหตุการณ์รุนแรงในบ้านเรา โดยเฉพาะข้อสรุปของช่างภาพคนนี้ที่ว่า ความเกลียดชังและอคติเป็นตัวที่แบ่งแยกคน ทำให้เกิดการกล่าวหาให้ร้ายและสร้างภาพแบบเหมารวมได้อย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีอคติแบบนี้หรือไม่ ก็น่าจะหาคำตอบให้ได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกวันนี้ความหวาดระแวงและไม่เชื่อใจกันเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดการใช้อาวุธ
เหตุการณ์สลายการชุมนุมกลางกรุงเทพฯเมื่อปี 2553 มีการปลุกระดมความเกลียดชังเพื่อกล่าวหาให้ร้าย และมองข้ามความสูญเสีย ความเป็นเพื่อนมนุษย์หรือไม่
ทำไมบางคนจึงเสียใจและเสียดายที่โรงหนังเก่าแก่ถูกเพลิงไหม้ มากกว่าจะสะเทือนใจที่มีคนถูกยิงตายภายในวัดที่เป็นเขตอภัยทาน เหตุใดภาพไฟไหม้ห้างสรรพสินค้าถูกใช้เป็นอาวุธกล่าวหาผู้คนอย่างเหมารวมได้อย่างง่ายดาย
คำตอบเหล่านี้คงหาได้ไม่ยาก
กรณีเยาวชนชาติพันธุ์ลาหู่ถูกวิสามัญฆาตกรรม แม้มีภาพถ่ายจากเจ้าหน้าที่ออกมาเห็นลูกระเบิดได้ชัดเจน แต่กลับไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นหรือกระจ่างชัดให้กับผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะกับญาติและมิตรสหายที่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย
นั่นคงเพราะชีวิตของคน คนหนึ่งมีเรื่องราวมากกว่าที่ปรากฏในภาพ หรือตัดสินได้ด้วยภาพใดภาพหนึ่ง