ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
เหมือนเสียงปี่กลองของเวทีมวยการเมืองเริ่มโหมโรง
สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างการโหมโฆษณาบรรยากาศปรองดอง
ในอีกด้านหนึ่ง ความขัดแย้งทั้งที่ชัดเจนว่าเป็นประเด็นการเมืองโดยตรง และส่อนัยว่าเป็นการเมือง
ก็เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก
ล่าสุดคือกรณีสั่งปิดวอยซ์ทีวีเป็นเวลา 7 วัน
สัปดาห์ที่แล้ว คณะอนุกรรมการกำกับผังรายการและเนื้อหารายการ กสทช. สั่งให้วอยซ์ทีวีเข้าชี้แจงรายการ “ใบตองแห้ง” ออกอากาศวันที่ 15 มีนาคม กรณีการวิจารณ์ มาตรา 44 ปิดวัดพระธรรมกาย
จู่ๆ ในวันศุกร์ กสทช. ระบุว่า
คสช.ขอให้ดำเนินการสอบสวนรายการของวอยซ์ทีวีเพิ่มขึ้นอีก 3 กรณี
โดย กสทช.ตรวจสอบอีก 2 กรณี
ได้แก่
รายการ “In Her View” ออกอากาศวันที่ 20 มีนาคม หัวข้อไล่เรียงเหตุการณ์โกตี๋กับอาวุธ พร้อมแถลงการณ์แผนลอบสังหาร
รายการ “Over View” ออกอากาศวันที่ 20 มีนาคม หัวข้อ “กองทัพบกป้องทหาร ยันยิงทิ้งเด็กลาหู่ถูกต้องทุกกรณี”
โดยมติของอนุกรรมการในเช้าวันที่ 27 มีนาคม
คือระงับการออกอากาศทั้งสถานี 3 วัน
ด้วยเหตุผลว่า “ทำความผิดซ้ำซาก”
แต่ถึงช่วงบ่ายวันเดียวกัน บอร์ด กสท.ลงมติให้ระงับการออกอากาศทั้งสถานี 7 วัน
ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 28 มีนาคม
มติที่ไม่ผิดไปจากความคาดหมาย
เรียกปฏิกิริยาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไม่ผิดคาดหมาย
แต่ที่นอกเหนือไปจากความคาดหมาย
ก็คือท่าทีที่เปลี่ยนไป
จากที่เคยเลือกจะก้มหน้ารับผลการตัดสินโดยดุษณี
หนนี้วอยซ์ทีวีออกแถลงการณ์ในเย็นวันเดียวกัน
คัดค้านมติดังกล่าว และ
“จะพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน
และดำเนินการทางแพ่งและปกครองตามความเหมาะสมต่อไป”
สะท้อนภาพเดียวกับสองเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ประการหนึ่ง คือท่าทีของ ส.ส.เพื่อไทยภายหลังถูกระงับการแถลงข่าวเรื่องหนังสือที่สนับสนุนนโยบายจำนำข้าว
ประการหนึ่ง คือท่าทีพรรคเพื่อไทยต่อแนวทางปรองดองของรัฐบาล
25 มีนาคม ที่สวนสวนรถไฟ เขตจตุจักร
เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจสั่งยกเลิกการแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “ทำลายจำนำข้าว แต่ฆ่าชาวนา”
ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประโยชน์ของโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยระบุว่าสวนสาธารณะเป็นสถานที่สำหรับให้ประชาชนทั่วไปออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ
ไม่อนุญาตให้มีการจัดกิจกรรมการเมือง
อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่ง คสช.
ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร หนึ่งใน 5 ส.ส.ผู้เขียนหนังสือดังกล่าว ระบุว่า ไม่รู้ว่าเนื้อหาของหนังสือมีส่วนใดที่ขัดต่อคำสั่งหัวหน้า คสช.
เพราะเกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของชาวนาโดยตรง
แต่ก็จะนำหนังสือไปจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติต่อไป
เป็นท่าที-หยุดแต่ไม่เลิก
ขณะที่ปลายสัปดาห์ก่อนหน้า พรรคเพื่อไทยก็เพิ่งจะออกแถลงการณ์ แสดงท่าทีต่อแนวทางปรองดองของรัฐบาล
มีเนื้อหาที่แหลมคมกว่าท่าทีประนีประนอมเดิมๆ
อาทิ
สาเหตุส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง
“หากฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้งใช้กระบวนการในระบบรัฐสภา และเคารพในกติกาประชาธิปไตย
ในขณะเดียวกันทหารวางตนเป็นกลาง ไม่ก่อการรัฐประหาร
ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น”
หรือแนวทางแก้ไขด้วยการ “ปฏิรูป” ก็ควรจะ
“ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้สังคมมีความเป็นธรรม
ไม่มีระบบสองมาตรฐานอีกต่อไป”
เมื่อผนวกเข้ากับท่าทีต่อการจัดการวัดพระธรรมกายก่อนหน้า
ที่เน้นการ “สลายการจัดตั้ง” มิให้เป็นฐานเสียงของพรรคการเมืองใด
มากกว่ามุ่งหาตัวพระไชยบูลย์ สุทธิผล
หรือการเข้าจู่โจมจับกุมอาวุธในเครือข่าย “โกตี๋” เสื้อแดง ฮาร์ดคอร์ แบบชนิดฉับพลัน
แล้วโยงเข้าไปถึงกรณีวัดพระธรรมกาย
ไปไกลถึงขั้นการเตรียมลอบสังหารผู้นำฝ่ายทหาร
รวมทั้งกรณี “อภินิหาร” ในการจัดเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ป จากนายทักษิณ ชินวัตร
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” โดยแท้
และส่งสัญญาณว่าการเมือง 2560 นั้นไม่ธรรมดา
และไม่ปกติ