ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
ในหนังสือ “ราชประดิษฐพิพิธทรรศนา” เขียนโดย “พิชญา สุ่มจินดา” มีบทสั้นๆ ที่กล่าวถึงพระประวัติของ “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)”
(สำหรับผู้สนใจพระประวัติโดยละเอียด สามารถค้นคว้าได้จากหนังสือ “พระประวัติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม”)
สมเด็จพระสังฆราชสา นับเป็นปราชญ์หรืออัจฉริยบุคคลท่านหนึ่ง ทรงสอบได้เปรียญ 9 ประโยค ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร ถือเป็น “สามเณรเปรียญ 9” รูปแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนจะทรงถวายตัวเป็น “ศิษย์หลวง” ของวชิรญาณภิกขุ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ต่อมา แม้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระอมรโมลี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่แล้วท่านกลับทรงตัดสินใจลาสิกขา (ในหนังสือพระประวัติฯ ได้ระบุถึง “เรื่องเล่า” ที่อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านตัดสินใจกลับคืนสู่เพศฆราวาส)
ทั้งหนังสือ “ราชประดิษฐพิพิธทรรศนา” หนังสือ “พระประวัติฯ” ตลอดจนข้อมูลออนไลน์ทางวิกิพีเดีย ต่างระบุอย่างสอดคล้องต้องตรงกันว่า ในระหว่างที่กลับไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาสนั้น สมเด็จพระสังฆราชสา ท่านเคยเป็นนักเลงแถวหน้าโรงหวยอยู่พักหนึ่ง ทั้งยังแต่งงานมีครอบครัว และมีทายาทสืบสายสกุล “ปุสสเด็จ” และ “ปุสสเทโว” มาจนถึงปัจจุบัน
ทว่า สุดท้าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตามให้อดีตพระอมรโมลี (สา) กลับไปอุปสมบทใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัยของพระองค์
ที่แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของท่าน ก็คือ ภายหลังอุปสมบทรอบสอง สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ทรงสอบได้เปรียญ 9 ประโยคอีกหนหนึ่ง จึงทำให้ท่านได้รับฉายาว่า “มหาสา 18 ประโยค”
สมเด็จพระสังฆราชสาถือเป็นกำลังสำคัญรูปหนึ่งของคณะสงฆ์ธรรมยุต ด้วยเหตุนี้ เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างวัดราชประดิษฐขึ้น จึงทรงอาราธนาให้ท่าน ขณะเป็นพระสาสนโสภณ มาครองตำแหน่งเจ้าอาวาส
ว่ากันว่าสมเด็จพระสังฆราชสา ทรงเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เพราะทรงแสดงพระธรรมเทศนาถวายได้ลึกซึ้งจับใจ ขณะเดียวกัน ในหลวงรัชกาลที่ 4 ก็ทรงเสด็จฯ ไปสนทนาธรรมกับท่านที่วัดราชประดิษฐ จนถึงเวลาดึกอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ “ปัญญาชนชั้นนำ” ร่วมสมัยหลายๆ ราย ยังยกย่องว่าสมเด็จพระสังฆราชสาทรงมีความทรงจำดีเยี่ยมแม่นยำ (คือ ทรงมีความจำเที่ยงตรงยิ่งกว่าปัญญาชนส่วนใหญ่ในยุคนั้น ซึ่งก็มีความจำดีกันอยู่แล้ว)
อีกหนึ่งผลงานที่ท่านสร้างเอาไว้ แต่หลายคนอาจไม่ค่อยรู้ ก็คือ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ทรงเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “ไปรษณีย์” และ “โทรเลข” ขึ้นมา
สมเด็จพระสังฆราชสาทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยนี้ ท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตำแหน่งที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เป็นตำแหน่งพิเศษ
และท้ายสุด ก็ทรงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อ พ.ศ.2436 กระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2442
โดยหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอีกเลย ตลอดรัชกาล นับรวมเวลาได้ 11 ปี
ช่องว่าง “11 ปี” ตรงนี้ คือตัวอย่างหนึ่ง ที่ “อาจารย์วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี นำมาใช้อธิบายถึง “ประเพณีอันหลากหลาย” ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งมีทั้งเร็วและช้า และมีเหตุผลสนับสนุนในแต่ละครั้ง แตกต่างกันออกไป