ผู้เขียน | โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ |
---|
แคว้นอุมเบรีย (Umbria) เป็นหนึ่งในยี่สิบแคว้นของประเทศอิตาลี มีเนื้อที่ทั้งหมด 8,456 ตารางกิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดเปรูจาและจังหวัดแตร์นี มีประชากรประมาณ 900,000 คน เป็นแผ่นดินกลางของคาบสมุทรยุโรปที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และศิลปะ ได้เกิดกรณีศึกษาทางสังคมอันน่าตื่นตะลึงยิ่ง ด้วยเรือนจำแห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่า “คุกแตร์นี” ได้ดำเนินนโยบายใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของระบบราชทัณฑ์ยุโรปคือ การอนุญาตให้นักโทษชายสามารถมีเพศสัมพันธ์กับสตรีจากภายนอกได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและอยู่ในขอบเขตที่รัฐควบคุม
การปฏิรูปนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับสังคมบางแห่ง แต่สำหรับวงการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนยุโรป ถือเป็นหมุดหมายใหม่ในการตั้งคำถามว่า “เราจะปฏิบัติต่อนักโทษอย่างไร?”
นักโทษควรถูกลงโทษ หรือควรได้รับโอกาสเยียวยาให้กลับคืนสู่สังคมอย่างเป็นมนุษย์? และที่สำคัญที่สุดก็คือเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ในเรือนจำหรือไม่?
แนวคิดในการอนุญาตให้นักโทษมีความสัมพันธ์ทางเพศเนื่องมาจากศาลรัฐธรรมนูญอิตาลีพิพากษาเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2567 ว่า ผู้ต้องขังควรมีสิทธิที่จะได้พบปะอย่างเป็นส่วนตัวกับคู่สมรสหรือคู่รักที่คบหากันในระยะยาว โดยไม่ต้องมีผู้คุมเรือนจำคอยจับตาอยู่ตลอดเวลา และศาลรัฐธรรมนูญอิตาลียังอ้างด้วยว่า ประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปก็มีการอนุญาตให้คู่รักเข้าเยี่ยมเยียนนักโทษในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ สวีเดน และอื่นๆ นอกจากนี้ได้เกิดจากเสียงเรียกร้องของนักโทษจำนวนมาก และจากรายงานเชิงวิชาการของนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เองที่ในอดีตนักโทษในยุโรปจำนวนมากต้องอยู่ในเรือนจำเป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสภรรยา ลูก หรือคู่รัก การขาดแคลนความใกล้ชิดทางร่างกายทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจรุนแรง เช่น โรคซึมเศร้า ความก้าวร้าว การก่อเหตุร้ายในคุก รวมถึงการเบี่ยงเบนทางเพศอันเกิดจากความต้องการที่ถูกกดทับ
ศาสตราจารย์ลูเซีย ดิ ฟาบริซิโอ นักจิตวิทยาเชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมนักโทษจากมหาวิทยาลัย
เปรูจา เคยกล่าวไว้ในงานวิจัยว่า “การยับยั้งความใคร่ไม่ได้นำไปสู่คุณธรรม หากแต่นำไปสู่ความแปลกแยกและความแค้นระหว่างมนุษย์ต่อระบบที่พรากสิ่งธรรมชาติไปจากเขา”
ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมอิตาลีได้ออกแนวทางปฏิบัติให้นักโทษซึ่งได้รับอนุญาตให้พบปะส่วนตัวกับคู่รักสามารถเข้าใช้บริการห้องซึ่งมีเตียงและสุขาได้เป็นเวลาสูงสุด 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ประตูของห้องนี้จะต้อง “ปลดล็อก” เอาไว้ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้คุมเรือนจำสามารถเข้าแทรกแซงได้หากมีความจำเป็น
ปรากฏว่าในคุกแตร์นีที่แคว้นอุมเบรีย มีนักโทษที่มีความประพฤติดีๆ ได้รับความไว้วางใจ และผ่านเกณฑ์ทางจิตวิทยา จะได้รับอนุญาตให้เข้าห้องพิเศษที่เรียกว่า Private Intimacy Room ซึ่งตั้งอยู่นอกตัวอาคาร
คุกหลัก มีลักษณะเป็นบ้านเล็กๆ แยกเป็นส่วนตัว ประดับตกแต่งอย่างสะอาดและเป็นกันเอง พร้อม
สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นักโทษสามารถขอใช้ห้องเหล่านี้เพื่อใช้เวลากับภรรยา คู่รัก หรือแม่ของลูก โดยผ่านการอนุญาตจากฝ่ายบริหารคุกและการยินยอมจากฝ่ายหญิงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1) หญิงสาวต้องไม่เป็นเยาวชน 2) ต้องไม่มีหลักฐานว่าถูกบังคับ ล่อลวง หรือว่าจ้างเพื่อการค้าประเวณี 3) ต้องได้รับการตรวจสุขภาพก่อนและหลังการเข้าใช้พื้นที่การอนุญาตแต่ละครั้งจะจำกัดระยะเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง และมีการดูแลโดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในระยะห่าง (แต่ไม่แอบสอดส่องในลักษณะละเมิดสิทธิ)
เสียงสะท้อนจากนักโทษและคู่รักของพวกเขาใน
คุกแตร์นีเป็นไปในทางบวกอย่างน่าทึ่ง นายโรแบร์โต วาเลนติ นักโทษวัย 42 ปี ซึ่งต้องโทษจำคุก 18 ปีจากคดีค้ายาเสพติด กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ถึงวันพ้นโทษไหม แต่การที่ผมได้เจอลูกชายเดือนละครั้งในห้องนั้น และได้กอดภรรยาตัวเองโดยไม่ต้องผ่านลูกกรง มันทำให้ผมรู้สึกเป็นมนุษย์อีกครั้ง”
ขณะเดียวกัน มาเรีย โจวันนา ภรรยาของนักโทษอีกราย กล่าวว่า
“ฉันไม่อยากให้ลูกโตมาโดยคิดว่าพ่อของเขาเป็นสัตว์ที่รัฐต้องขังไว้ตลอดชีวิต การได้มาเจอพ่อของเขาโดยที่ไม่ต้องยืนข้างกระจกหนา มันช่วยเยียวยาความรู้สึกของเราทั้งครอบครัว”
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับแนวทางนี้ นักการเมืองสายอนุรักษนิยมและกลุ่มศีลธรรมทางศาสนาหลายกลุ่มในอิตาลีมองว่า การอนุญาตให้นักโทษมีเพศสัมพันธ์ในคุกคือการ “ปลดปล่อยเกินขอบเขต” และเป็นการลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของการลงโทษ โดยซินญอร์ ฟรานเชสโก โรมาโน สมาชิกสภาแห่งชาติฝ่ายขวาจัด ออกแถลงการณ์ว่า
“ในเมื่อคุณฆ่าคน ข่มขืน หรือค้ายา แล้วต้องติดคุก คุณควรถูกลงโทษ ไม่ใช่ถูกให้รางวัลด้วยเตียงนุ่มๆ และความสุขทางเพศ”
อย่างไรก็ดี แนวคิดนี้ถูกโต้แย้งโดยนักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งชี้ว่า “สิ่งที่เราให้กับนักโทษไม่ใช่รางวัล แต่คือสิทธิขั้นต่ำในฐานะมนุษย์ เพราะหากเราไม่ยอมรับว่าคนผิดก็ยังเป็นมนุษย์ เราจะไม่สามารถสร้างระบบยุติธรรมที่มีคุณธรรมได้เลย”
อิตาลีขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความแออัดของเรือนจำสูงเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรป และสถิติการ
ฆ่าตัวตายของนักโทษก็พุ่งสูงขึ้นด้วยในช่วงไม่นานมานี้จากสถิติของรัฐบาล อิตาลีมีจำนวนนักโทษมากกว่า 62,000 คน และกว่า 21% เป็นนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำความมั่นคงสูง
เรื่องราวของคุกแตร์นี อาจดูเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในสังคมหนึ่ง แต่แท้จริงแล้ว มันคือภาพสะท้อนของกระแสใหม่ในการมองมนุษย์ในฐานะผู้ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่ผู้ที่เคยกระทำผิดเพราะในท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดในสังคมแห่งความยุติธรรม ไม่ใช่การลงโทษคนให้ทุกข์ทรมานที่สุด
หากแต่เป็นการให้โอกาสคนที่เคยหลงทาง ได้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์