โฆเซ มูฮิกา ประธานาธิบดีเพียงหนึ่งเดียวของโลก

โฆเซ มูฮิกา ประธานาธิบดีเพียงหนึ่งเดียวของโลก

อุรุกวัย หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัยเป็นประเทศเล็กๆ มีเนื้อที่ประมาณ 176,215 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้มีสัณฐานคล้ายกับลูกฟุตบอล มีอาณาเขตจรดประเทศบราซิลทางทิศเหนือ ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดประเทศอาร์เจนตินา และจรดมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรประมาณ 3,518,552 คนโดยครึ่งหนึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ กรุงมอนเตวิเดโอ อุรุกวัยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของทวีปอเมริกาใต้ แต่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุดของทวีปอเมริกาใต้ นอกจากนี้อุรุกวัยยังมีทีมฟุตบอลระดับแนวหน้าของโลกมาโดยตลอด จากการครองแชมป์ฟุตบอลโอลิมปิก 2 สมัยและแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัย และอุรุกวัยยังส่งออกนักฟุตบอลชาวอุรุกวัยไปประจำทีมท็อปทั้งในทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป นอกจากนี้อุรุกวัยยังเป็นประเทศแรกของโลกที่เปิดเสรีในการปลูก จำหน่ายและบริโภคกัญชา

ตลอดเวลา 154 ปีหลังจากชาวอุรุกวัยต่อสู้จนได้เอกราชจากสเปนเมื่อ พ.ศ.2373 นั้น อุรุกวัยก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการในรูปแบบต่างๆ จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในที่สุดชาวอุรุกวัยพากันลุกฮือขึ้นต่อสู้กับเผด็จการทหารจนกระทั่งได้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2527 ต่อมาชาวอุรุกวัยได้เลือกตั้งนายโฆเซ มูฮิกา วัย 81 ปี ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเป็นประธานาธิบดีเมื่อ พ.ศ.2553

ประวัติของนายโฆเซ มูฮิกานั้น เขาเกิดเมื่อ พ.ศ.2478 ในครอบครัวยากจน กำพร้าพ่อแต่เด็ก มีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น สมัยเป็นหนุ่มหัวรุนแรง เข้าร่วมกับกลุ่มการเมืองเป็นกองโจรติดอาวุธเพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐ เคยถูกยิงจนเกือบเสียชีวิต ถูกจับ เคยแหกคุก เคยปล้นธนาคารเพื่อหาทุนต่อสู้ทางการเมือง

ในที่สุดนายมูฮิกาถูกจับกุมและติดคุกนานถึง 12 ปี เคยถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานานในระยะแรก เขาพยายายามอ่านตำราพีชคณิตและแคลคูลัสเพื่อให้คิดในระหว่างถูกขังเดี่ยว ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้อ่านนานถึง 7 ปี ไม่ได้พูดคุยกับใคร จนเกือบเสียสติ จนกระทั่งถูกปล่อยตัวใน พ.ศ.2528 เมื่ออุรุกวัยได้เป็นประชาธิปไตย นายมูฮิกาก็เข้าสู่วงการเมืองโดยเป็นสมาชิกแนวร่วมพรรคฝ่ายซ้าย เขาได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐมนตรี เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี (ตำแหน่งประธานาธิบดีของอุรุกวัยนั้นเป็นได้ครั้งละสมัยเดียวจะสมัครติดต่อกันไม่ได้) และชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีในปี 2553 ด้วยเสียงมากกว่าครึ่งประเทศ

ADVERTISMENT

ประเทศอุรุกวัยในสมัยที่นายมูฮิกาเป็นประธานาธิบดีประสบความสำเร็จมากทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเขาเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมทีมบริหาร เขามีนโยบายการเงินการคลังเป็นแบบอนุรักษนิยม เน้นเรื่องวินัยการเงินการคลังและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ สร้างแรงจูงใจให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับความรู้และทักษะของแรงงานในทุกระดับ เพื่อรองรับการลงทุน เพื่อให้คนในประเทศได้ประโยชน์ มีงานทำและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ

ที่สำคัญกว่านั้นคือนโยบายด้านสังคม เช่น การศึกษา สาธารณสุข และระบบสวัสดิการสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพให้กับประชาชน รวมถึงออกกฎหมายที่ล้ำยุคสมัยในช่วงนั้น เช่นเรื่องการอนุญาตให้สตรีทำแท้งได้ เรื่องกัญชาเสรี การให้มีการแต่งงานเพศเดียวกันได้ นายมูฮิกาผลักดันกฎหมายเหล่านี้จากความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมที่เขามี จนเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ และจากนโยบายที่เขาผลักดันและจากภาพลักษณ์ของเขาที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก เนื่องจากเขาไม่อยู่บ้านประจำตำแหน่งประธานาธิบดี แต่อยู่บ้านเดิมเล็กๆ ของภรรยาของเขา ไม่ใช้รถประจำตำแหน่ง บริจาคเงินเดือนกว่า 90% เพื่อช่วยคนจน ทำให้นายมูฮิกาเป็นประธานาธิบดีในหัวใจของชาวอุรุกวัยจนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้วก็ตาม

มีคำกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า “อำนาจทำให้คนเปลี่ยน” แต่คำกล่าวนั้นใช้ไม่ได้กับชายชราคนหนึ่งจากแผ่นดิน
อุรุกวัย ผู้ซึ่งคนทั้งโลกขนานนามว่า “ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก” คือนายโฆเซ มูฮิกา (José Mujica) ชายผู้ขับรถโฟล์กสวาเกนเก่าๆ ใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ และอาศัยในบ้านไร่เล็กๆ ที่เรียบง่าย ความเป็นประธานาธิบดีมิได้ทำให้เขาเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น กลับยิ่งตอกย้ำให้โลกเห็นว่าความยิ่งใหญ่ของผู้นำไม่ใช่การครอบครองสิ่งของ แต่คือการครองใจคน

มูฮิกาไม่ใช่ผู้บริหารประเทศที่มาจากการอุ้มชูของตระกูลการเมืองหรือผู้มีอำนาจ เขาเกิดในครอบครัวเกษตรกรธรรมดาๆ พ่อแม่เป็นคนชั้นล่างของสังคม แต่เขากลับมีจิตวิญญาณของนักปฏิวัติที่ไม่ยอมก้มหัวให้ความอยุติธรรม ในวัยหนุ่มเขาได้เข้าร่วมขบวนการปฏิวัติตูปามาโรส (Tupamaros) กลุ่มกองโจรที่ต่อสู้กับเผด็จการทหารอุรุกวัยในทศวรรษ 1960 ซึ่งช่วงเวลานั้น การพูดถึงความเท่าเทียมเป็นสิ่งต้องห้ามและอันตรายอย่างยิ่ง

มูฮิกาถูกจับกุมหลายครั้ง ถูกยิงหกนัด รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ และต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุกนานถึง 14 ปี โดย 10 ปีในนั้นเป็นการขังเดี่ยวที่ไร้แสงสว่าง แต่เขาก็ไม่เคยหมดหวัง ไม่เคยสิ้นศรัทธาในความฝันที่จะเห็นอุรุกวัยเป็นประเทศที่ดีกว่านี้ สำหรับมูฮิกาแล้ว คุกคือโรงเรียนแห่งชีวิตที่สอนให้เขาเข้าใจความทุกข์ยากของคนธรรมดา เมื่อได้รับการปล่อยตัวใน พ.ศ.2528 มูฮิกากลับมาสู่การเมืองด้วยพลังที่เข้มแข็งกว่าเดิม

การเป็นประธานาธิบดีของเขาไม่ใช่การสวมชุดสูทหรูหรา นั่งรถเบนซ์หรืออาศัยในทำเนียบที่หรูหรา แต่เขากลับปฏิเสธทุกสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อ เหลือไว้เพียงความเป็นคนธรรมดาที่ขับรถเต่าเก่าๆ และบริจาคเงินเดือนเกือบทั้งหมดให้กับองค์กรการกุศล บ้านของเขาก็เป็นเพียงบ้านไร่หลังเล็กๆ ที่ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เหมือนกับเพื่อนบ้านรอบข้าง ไม่มีรั้วเหล็กกั้น ไม่มีการ์ดรักษาความปลอดภัย ไม่มีกล้องวงจรปิดอันหรูหรา เพราะเขาเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ที่เขามอบให้ประชาชน

“คนเราไม่จำเป็นต้องมีมากถึงจะมีความสุข” มูฮิกามักจะกล่าวเช่นนี้กับผู้มาเยือน และนั่นไม่ใช่เพียงคำพูดที่สวยหรู แต่เป็นวิถีชีวิตที่เขายึดถือจริงๆ

คู่ชีวิตของเขา ลูเซีย โทโพลันสกี (LucÍa Topolansky) ก็หาได้ต่างกันไม่ เธอเป็นนักการเมืองผู้มากด้วยอุดมการณ์และเคียงบ่าเคียงไหล่กับมูฮิกามาตั้งแต่สมัยปฏิวัติ ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างสมถะในบ้านไร่หลังเล็ก ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และดูแลกันอย่างเรียบง่าย แม้ในวันที่มูฮิกาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ลูเซียก็ยังคงทำงานและใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเชื่อมั่น ทั้งสองไม่เคยหรูหราหรือเย่อหยิ่ง หากแต่เป็นแบบอย่างของการครองคู่ที่มีความเข้าใจและเคารพกันอย่างลึกซึ้ง

ในสังคมที่เงินทองและอำนาจกลายเป็นบันไดสู่การเป็นใหญ่ มูฮิกากลับแสดงให้เห็นว่าวิถีชีวิตที่เรียบง่ายต่างหากที่เป็นหนทางสู่ความสงบสุข เขาไม่เคยไขว่คว้าหาความมั่งคั่ง ไม่เคยแสวงหาความหรูหราฟุ่มเฟือย และไม่เคยปล่อยให้ตำแหน่งประธานาธิบดีมาบดบังหัวใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

เมื่อพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี ชีวิตของมูฮิกาหาได้เปลี่ยนแปลงไม่ เขายังคงอยู่ที่บ้านไร่ ปลูกผัก เลี้ยงไก่ และพูดคุยกับเพื่อนบ้านราวกับคนธรรมดาสามัญ ไม่มีการยกย่องหรือพิเศษไปกว่าใคร มูฮิกาเชื่อมั่นว่า “การรับใช้สังคมคือภาระหน้าที่ของมนุษย์” และนั่นคือสิ่งที่เขาทำจนถึงวาระสุดท้าย

โฆเซ มูฮิกา จากโลกนี้ไปเมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ในวัย 89 ปี แม้ร่างกายของเขาจะดับสูญ แต่จิตวิญญาณของเขายังอยู่ในใจของคนทั้งโลก เขาพิสูจน์ให้เห็นว่า ความยิ่งใหญ่ของผู้นำมิได้วัดจากทรัพย์สินหรืออำนาจ หากแต่วัดจากหัวใจที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

โลกใบนี้อาจจะไม่มีผู้นำแบบโฆเซ มูฮิกาอีกต่อไป แต่ตำนานของเขาจะคงอยู่ในความทรงจำของผู้คน และจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังว่า การเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่การสะสมทรัพย์สิน แต่คือการสะสมหัวใจของประชาชน