ขันธ์ 5: โครงสร้างของมนุษย์ในทรรศนะพุทธะ

ขันธ์ 5: โครงสร้างของมนุษย์ในทรรศนะพุทธะ

ผู้เขียนมีภูมิความรู้ในทางพระพุทธศาสนาเพียงแค่สอบธรรมศึกษาตรี สนามหลวงได้เท่านั้นเองครั้นไปสอบธรรมศึกษาโท สนามวัดก็ผ่านอีกแต่พอต้องสอบสนามหลวงก็สอบตก แต่ก็ประหลาดใจที่ลูกศิษย์ลูกหามักมาถามข้อธรรมะทางพระพุทธศาสนากับผู้เขียนอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ผู้เขียนชี้แจงว่าความรู้ทางพระพุทธศาสนาของผู้เขียนมีแค่หางอึ่งเท่านั้น ที่ตอบๆ ไปก็ถือเป็นเพียงแบบฝึกหัดในการทำเรียงความแก้กระทู้ธรรมเท่านั้น (ที่เคยสอบตกตอนสอบธรรมศึกษาโทนั่นแหละ)

เมื่อโดนลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งที่นำโดยนักศึกษาสาวชาวรัสเซียที่พูด เขียน อ่านภาษาไทยได้คล่องแคล่ว มาถามว่า “ขันธ์ 5” คืออะไร? ก็เลยตอบไปว่าขันธ์ 5 นั้นคนทั่วไปมักนึกถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่ว่าด้วยการจำแนกองค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ออกเป็นห้าหมวดหมู่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ระบบแยกย่อยมนุษย์ออกเป็นส่วนๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ก่อนที่ฝรั่งจะมาเสนอแนวคิดว่าจิตใจมนุษย์ประกอบด้วยจิตใต้สำนึก จิตรู้ตัว และจิตเหนือสำนึกนั้น พุทธศาสนาได้ชำแหละชีวิตเสียละเอียดถี่ถ้วนมานานกว่า 2,500 ปีแล้ว

ขันธ์ 5 จึงเป็นเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าใช้ “แยกแยะ” แทนที่จะ “ยึดมั่น” เป็นกระบวนการ “แยกธาตุ” เพื่อให้เห็นว่า ที่เราเรียกว่า “ตัวกูของกู” นั้น หาใช่ของจริงแท้ถาวรไม่ แต่เป็นเพียงการประกอบกันของสิ่งชั่วคราวทั้งหลาย ซึ่งถ้าเรารู้ทันมัน เราก็ไม่ต้องทุกข์กับมัน

ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่ศัพท์ของพระอภิธรรมที่ต้องเรียนไปเพื่อสอบบาลี แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเราทุกคน ขณะนั่งอ่านบทความนี้อยู่ด้วยซ้ำ

ADVERTISMENT

ขันธ์แรก: รูป-กายภาพและสิ่งที่กระทบประสาทสัมผัสเริ่มกันที่ขันธ์ที่คนเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ รูปขันธ์ หรือสิ่งที่ “จับต้องได้” ซึ่งในทางพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายของเราอย่างเดียว แต่รวมถึงวัตถุโลกภายนอกที่มากระทบเรา เช่น เสียง กลิ่น รส สัมผัส และภาพต่างๆ ที่มากระทบประสาททั้งห้า

ร่างกายที่เราเห็นในกระจกยามเช้า ที่เราแต่งหน้าให้สวยงาม หรือบำรุงด้วยครีมราคาแพง หากพิจารณาในกรอบของขันธ์ 5 ก็คือ รูป ซึ่งเกิดจากธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ชั่วคราวมาประชุมกัน เมื่อหมดอายุขัย ก็กระจายสลายไปตามธรรมชาติ

สิ่งสำคัญในรูปขันธ์ คือความไม่เที่ยง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นบทเรียนชัดเจนว่า รูปนี้มิใช่ของถาวร พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณารูปขันธ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้หลงใหลยึดติดว่าร่างกายนี้คือ “เรา” โดยแท้จริง

ขันธ์ที่สอง: เวทนา-ความรู้สึกสุข ทุกข์ และเฉยๆ ต่อจากรูปขันธ์ ก็มาถึง เวทนาขันธ์ หรือ “ความรู้สึก” ที่เกิดขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสของเราถูกกระทบ ซึ่งจะมีอยู่สามอย่างเท่านั้น คือ

1.สุขเวทนา คือความรู้สึกพึงพอใจ เช่น อิ่มท้อง รื่นรมย์ทางเพศ ได้ยินคำชม 2.ทุกขเวทนา คือความรู้สึกไม่พอใจ เช่น เจ็บป่วย เหงา ผิดหวัง 3.อุเบกขาเวทนา คือความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์

ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วดับไปตลอดเวลา เราไม่สามารถควบคุมได้ว่ามันจะอยู่หรือไป เช่น วันนี้มีคนชมเรา ก็เกิดสุขเวทนา วันรุ่งขึ้นคนเดียวกันอาจด่าเรา ก็เกิดทุกขเวทนา ดังนั้นเวทนาเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เช่นเดียวกับรูปขันธ์ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราพิจารณาเวทนาอย่างมีสติ เห็นว่าแม้แต่ความสุขก็ไม่ใช่ของยั่งยืน เป็นแค่ผลสะท้อนของเงื่อนไขชั่วคราว หากยึดมั่นมันไว้ ก็ต้องทุกข์เมื่อมันจากไป

ขันธ์ที่สาม: สัญญา-ความจำแนกหมายรู้ สัญญาขันธ์ คือกระบวนการที่จิตใจของเราตีความข้อมูลที่ได้รับจากประสาทสัมผัส เช่น เห็นเงาร่างเพื่อน ก็รู้ว่า “อ๋อ นี่คือสมชาย” ได้ยินเสียงหนึ่งก็รู้ว่า “เสียงหมาเห่า” ได้กลิ่นก็รู้ว่า “นี่กลิ่นแกงเขียวหวาน” เป็นต้น

สัญญาจึงเป็นกระบวนการให้ความหมายกับโลก ปัญหาของสัญญาอยู่ตรงที่มันไม่เป็นกลาง

เรามักใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในความจำแนกนี้ เช่น เห็นคนหน้าเหวี่ยง เราก็ตัดสินทันทีว่า “คนนี้หยิ่ง” ทั้งที่อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ซึ่งทำให้เกิดอคติ และตามมาด้วยความยึดมั่นที่เป็นทุกข์

ในทางพุทธศาสนา การเข้าใจว่า “สัญญาไม่ใช่ความจริงแท้” จึงเป็นเรื่องสำคัญ การรู้เท่าทันว่าสิ่งที่เรารับรู้ อาจเป็นแค่ภาพลวงของอุปาทาน ทำให้เราไม่เผลอไปตัดสินโลกแบบผิดๆ

ขันธ์ที่สี่: สังขาร-ความคิดปรุงแต่ง สังขารขันธ์ เป็นขันธ์ที่ลึกซึ้งที่สุดในบรรดาห้าขันธ์ เพราะคือ “เครื่องปรุง” ของจิตใจ เป็นเบื้องหลังของการคิด ตัดสินใจ ตั้งเจตนา มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง พูดอีกอย่าง สังขารก็คือ “ความคิด” ทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยมีเหตุมีปัจจัย เป็นผู้จัดการเบื้องหลังของชีวิต เป็นระบบปฏิบัติการที่ชี้นำว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไร เช่น จะเลือกโกรธหรือให้อภัย จะหยิบเงินหล่นหรือคืนเจ้าของ สังขารขันธ์เป็นผู้มีบทบาทตรงนั้น

ปัญหาคือ สังขารเป็นตัวสร้างกรรม เพราะมันเป็นที่ตั้งของเจตนา หากปรุงแต่งในทางที่ดี ก็เกิดกุศลกรรม หากปรุงแต่งในทางชั่ว ก็เกิดอกุศลกรรม ชีวิตจึงไหลเวียนไปตามแรงปรุงของสังขารนั่นเอง ในพุทธศาสนา ผู้ฝึกจิตจะต้อง “เห็น” ความคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะด้วยสติและปัญญา ไม่ปล่อยให้สังขารพาไปโดยอัตโนมัติ เพราะถ้าเผลอเมื่อไร ก็จะกลายเป็นเหยื่อของการเวียนว่ายตลอดไป

ขันธ์ที่ห้า: วิญญาณ-ความรู้สึกตัวในแต่ละขณะ วิญญาณขันธ์ คือความสามารถของจิตในการ “รับรู้” ว่าตนเองกำลังมีประสบการณ์อะไร เช่น ได้ยินเสียง ก็มี “โสตวิญญาณ” รู้ว่าได้ยิน เห็นภาพก็มี “จักษุวิญญาณ” รู้ว่าเห็น เป็นต้น

วิญญาณเป็นดั่งไฟฉายที่ส่องไปยังประสาทสัมผัสต่างๆ เมื่อส่องไปที่หู ก็เกิดการได้ยิน ส่องไปที่ตา ก็เกิดการเห็น แต่ไฟฉายนั้นจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของภายนอกและภายใน ดังนั้นวิญญาณขันธ์ก็เช่นกัน เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน จุดสำคัญของวิญญาณคือ มันไม่มีตัวตนของมันเอง มันเกิดขึ้นจากการประชุมพร้อมของผัสสะเท่านั้น ถ้าไม่มีรูป ไม่มีตา ไม่มีแสง ไม่มีสมอง ไม่มีจิต ก็ไม่เกิดการเห็น จึงแปลว่า “ไม่มีวิญญาณ” ที่เป็นอัตตาอยู่อย่างถาวร

รวมความ: ขันธ์ 5 กับการคลายทุกข์ หากพิจารณาจากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็น “ของที่เกิดขึ้นแล้วดับไป” ไม่มีสิ่งใดที่มั่นคงถาวร ไม่มีอะไรที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ตัวเรา” โดยแท้จริงเลยและเพราะเราหลงผิดว่า ขันธ์ทั้ง 5 นี้คือ “ตัวเรา” “ของเรา”

จึงนำไปสู่ความยึดติด กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวแก่ กลัวตาย กลัวพลัดพราก ซึ่งทั้งหมดเป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงขันธ์ 5 ไว้เป็นเสมือนแว่นขยายให้เราเห็นความเป็น “อนัตตา” ในทุกสิ่ง ไม่ใช่เพื่อให้เราปฏิเสธชีวิต แต่เพื่อให้เรา เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เมื่อเข้าใจแล้ว ใจก็ไม่ดิ้นรน ไม่เผลอหลงไปกับอารมณ์ และสามารถคลายทุกข์ได้ในที่สุด

ขันธ์ 5 กับโลกสมัยใหม่ ในยุคสมัยที่มนุษย์หมกมุ่นกับ “ตัวตน” มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวตนในโลกออนไลน์ หรือในโลกความจริง ขันธ์ 5 กลับเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการพิจารณาและตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเรียกว่า “ชีวิต” ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง ขันธ์ 5 คือเครื่องมือเปิดโปงในยุคที่ใครๆ ก็อยากเป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ขันธ์ 5 คือเครื่องเตือนใจว่า “ตัวเรา” ที่พยายามสร้างภาพนั้น แท้จริงเป็นเพียงกระบวนการทางจิตวิญญาณชั่วคราว

เมื่อเราเข้าใจขันธ์ 5 ได้อย่างลึกซึ้ง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนโลก แต่เราจะ “เปลี่ยนวิธีมองโลก” และการมองใหม่นั่นแหละ จะพาใจของเราออกจากทุกข์ทีละน้อย จนเป็นอิสระได้ในที่สุด

ดังนั้นขันธ์ 5 เป็นเสมือน “แผนที่” ของจิตวิญญาณมนุษย์เมื่อเดินตามแผนที่นี้อย่างมีสติ เราจะพบว่า ตัวตนที่เราหวงแหนนักหนา แท้จริงแล้วเป็นแค่เงา เป็นเพียงสิ่งที่เกิดแล้วดับ สลายไปในที่สุดและเมื่อเราหลุดพ้นจากการยึดมั่นในขันธ์เหล่านี้นั่นแหละคืออิสรภาพทางใจที่แท้จริง

“ความเข้าใจขันธ์ 5 ไม่ใช่เพื่อให้เราเบื่อโลก แต่เพื่อให้เราดำเนินชีวิตในโลกได้อย่างมีอิสรภาพทางจิตใจ”

อันนี้พระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวไว้ แต่ผู้เขียนขอยืนยันด้วยตนเอง