ผู้เขียน | พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ |
---|
ก่อนจะเข้าเรื่องที่อยากเขียนคือเรื่องที่ชายแดน ก็อยากจะกล่าวถึงเรื่องที่เคยกล่าวไปแล้วเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน นั่นคือเรื่องของนัยยะของ “ข่าว” การปรับ ครม.
ที่เขียนเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าตัวของการปรับ ครม.เองไม่น่าสนใจ
แต่อยากจะย้ำว่าการนำเสนอข่าว ครม. อาจจะน่าสนใจกว่าการปรับ ครม.จริงเสียอีก
เพราะว่าถ้าข่าวการปรับ ครม.จริงน่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับประชาชนเอง การนำเสนอข่าวโพลการประเมินผลงานของ ครม. โดยเฉพาะรายคนคงจะเป็นเรื่องที่จริงจังกว่านี้
นี่เพิ่งจะมีโพลล่าสุดของมหิดลออกมา ทั้งที่ข่าวเรื่องการปรับ ครม.ออกมาเป็นเดือนแล้ว
นัยสำคัญในเรื่องเอาเข้าจริงก็อาจจะเป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะมันสะท้อนว่าประชาชนไม่ได้มีความหวังว่าใครจะดำรงตำแหน่งอะไรก็อาจเป็นได้ คือไม่ว่าใครจะมานั่งตำแหน่งอะไรก็ปล่อยๆ ไป
ข่าวการปรับ ครม. เอาเข้าจริงจึงเป็นข่าวเอาสนุก เป็นข่าววัดพลังว่าความขัดแย้งของสองพรรคร่วมรัฐบาลจะไปจบที่ไหน
และเป็นข่าวว่าตกลงคุณทักษิณยังมีพลังอำนาจทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน
ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับประชาชนมากนัก เป็นข่าวล่อเป้า เอาสนุก เพื่อจะได้ดูว่าตกลงเขาทะเลาะกันอย่างไร มากกว่าประเมินการทำงานจริง
แม้กระทั่งการถ่ายทอดการอภิปรายงบประมาณสื่อก็ไม่ได้สนใจกดดันรัฐบาล ปล่อยให้ฝ่ายค้านถ่ายทอดเอาเอง
เอาล่ะครับ ทีนี้มาคุยกันเรื่องพลวัตของชายแดนในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะในกรณีของไทยและกัมพูชา
ผมคิดว่าความท้าทายในช่วงนี้ของเรื่องคือการไม่ลงรอยกันในเรื่องเขตแดน แต่ความไม่ลงรอยในเรื่องเขตแดนไม่น่าจะจบง่ายๆ แค่การลากเส้นเขตแดนนั่นแหละครับ
เพราะต่อให้มีเขตแดนแล้วถ้าไม่มีชุดความคิดบางอย่างกำกับเขตแดน ปัญหามันก็ตามมาอยู่ดี การกระทบกระทั่งก็มาต่อไป
ส่วนมากไม่ใช่ปัญหาที่ชายแดน เพราะเขตแดนในมุมมองของคนที่ชายแดน เท่ากับปัญหาของคนที่ส่วนกลางที่มองชายแดนด้วยมิติแบบเขตแดนนั่นแหละครับ
ในกรณีของไทยกับกัมพูชานั้น มีหลักฐานหลายชุด และมีประวัติศาสตร์หลายชุดที่ไม่ลงรอยกัน
ความท้าทายคือการลากเส้นเขตแดนเสร็จก็ไม่ได้จะลดความไม่ลงรอยกันได้เสมอไป
ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรปักปันเขตแดน แต่คำถามคือการปักปันเขตแดนนั้นใช้หลักยึดอะไร และบางทีหลักยึดอันนั้นก็ไม่ได้ตรงตามหลักฐานอีกชุดหนึ่งของอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปอีก
ชีวิตคนที่ชายแดนเองก็ยังต้องดำเนินต่อไป การเปิดปิดชายแดนในช่วงปกติก็ไม่ได้เปิด 24 ชั่วโมงอยู่ดี แต่ก็อยู่กันได้ ไม่ได้มีความขัดแย้งรุนแรงเท่าไหร่
มองในอีกมุมหนึ่ง ถ้าฝ่ายหนึ่งยืนยันให้เจรจา อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไปศาลโลก คำถามมันจะจบอย่างไร
สมมุติเรายืนยันว่าจะเจรจา เราจะเจรจาอย่างไร
บางครั้งคำก็มีความสำคัญกับจินตนาการของเรานะครับ
อย่างพื้นที่ที่เรียกว่า no mans land ใช้ในบางความหมายก็ไม่ใช่เรื่องบวก เพราะมันยืนยันว่าเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของ หรือบางสำนักมองว่าหมายถึงพื้นที่ที่ียังมีความขัดแย้งกันอยู่ระหว่างสองฝ่าย
ในแง่นี้หมายถึงการเลือกใช้คำเช่นนี้ บ่งบอกว่ามีความขัดแย้งเป็นศูนย์กลางมิใช้น้อย
หรือในบางพื้นที่เราเรียกว่า “พื้นที่ร่วมพัฒนา” ผมคิดว่าคำเช่นนี้ก็มีประเด็นท้าทายเช่นกัน เพราะว่าอาจจะถูกวิจารณ์ว่าคนในพื้นที่จริงๆ ได้ประโยชน์จากการพัฒนาในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน
รวมไปถึงคำว่าสันติภาพที่ชายแดนก็ไม่ใช่คำที่ง่ายนัก
เพราะคำว่า peace ที่หมายถึงสันติภาพ สันติสุข นั้นบางครั้งอาจไม่ได้มีนัยเชิงบวกไปเสียหมด
คำว่าสันติภาพและสันติสุขมักจะหมายถึงการไร้ซึ่งความขัดแย้ง ไร้ความเกลียดชัง (no hostility) หรือภาวะแห่งความสามัคคี (harmony)
อย่างไรก็ตามความท้าทายในเรื่องของสันติภาพ อาจจะไม่ได้ครอบคลุมไปถึงความอบอุ่นและความใกล้ชิด (warmth and intimacy) แต่อาจหมายถึงเพียงความเป็นกลาง (neutrality)
แม้ว่าสภาวะสันติภาพจะหมายถึงการไม่มีความรุนแรงทางกายภาพ และจะต้องได้รับการยอมรับทั้งสองฝ่าย การอยู่ร่วมกัน และอาจจะหมายถึงการยอมรับเรื่องของความยุติธรรมในระดับหนึ่ง และยังรวมถึงการต้องมีการยอมรับกฎระเบียบขั้นต่ำบางประการ
จะเห็นว่าเมื่อพูดถึงเรื่องของสันติภาพและสันติสุข มันจะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ การทำตามกฎเกณฑ์ที่มักจะเป็นไปตามลายลักษณ์อักษร และมักจะเน้นเรื่องการตีความว่าแต่ละฝ่ายทำตามสัญญาที่เขียนไว้หรือไม่
ทางเลือกของการพิจารณาเรื่องนี้ก็คือเรื่องของ “มิตรภาพ” (friendship) ซึ่งบางส่วนนั้นสัมพันธ์กับสันติภาพ แต่มีความลึกซึ้งไปอีกทางหนึ่ง ตรงที่ให้ความสำคัญกับความเสมอกัน ต่างตอบแทน พึ่งพาซึ่งกันและกัน และส่งเสริมซึ่งกันและกัน และมี “ความรู้สึก” ที่ดีเป็นมิตรต่อกัน (mutual affection and supportive)
ในแง่นี้ความรู้สึกของความเป็นมิตร เป็นความรู้สึกเชิงบวก มีความเกี่ยวข้องกับความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าการบังคับ และมีความใกล้ชิดกันอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ความเป็นมิตร หรือมิตรภาพยังเป็นเรื่องของความผูกพันกันโดยสมัครใจ (voluntary bond) เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน และส่งเสริมสนับสนุนกันทางอารมณ์ รวมไปถึงความรู้สึกในเชิงดีชั่ว ถูกผิดร่วมกัน (moral obligation) และเห็นกับประโยชน์ของอีกฝ่ายหนึ่ง (altruism)
แม้ว่าในตำราบางฉบับจะมองว่าความเป็นมิตรเป็นเรื่องระดับบุคคล หรือกลุ่มคนมากกว่ารัฐ แต่ในความจริงคำว่า “มิตรประเทศ” ก็เป็นคำที่สำคัญมาแต่นมนานในบ้านเรา ในชายแดนหลายส่วนก็มีสะพานมิตรภาพ หรือในการกลับสู่ความสัมพันธ์หลังความขัดแย้งทางอุดมการณ์ก็ใช้คำว่าสมาคมมิตรภาพมาโดยตลอด
ผมไม่ได้หมายถึงว่าเราไม่ควรพูดถึงเอกราช อธิปไตย เขตแดน และความเป็นเจ้าของเอาเสียเลย แต่บางเรื่องอาจต้องตั้งหลักกันเรื่องการพยายามสร้างพื้นที่แห่งมิตรภาพระหว่างกัน อะไรที่ยังไม่ลงตัวก็ค่อยๆ วางมันลงไปก่อน ยอมรับความไม่ลงตัว ยอมรับความไม่ลงรอย และการทับซ้อน แต่มองความทับซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องของพื้นที่มิตรภาพ
มิตรภาพเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้น และสร้างขึ้นใหม่ได้เสมอ ไม่ต้องอ้างประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เพราะต่างฝ่ายต่างมีประวัติศาสตร์คนละชุดกัน
การมีมิตรภาพไม่ได้ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา แต่เส้นแบ่งมันมีความพัวพันเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ถ้อยทีถ้อยอาศัย อาจไม่ได้เท่ากันทุกเรื่องแต่เห็นใจและชดเชยกันได้ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ความเป็นมิตรของสองประเทศมันจะต้องขยายกว้างกว่าความเป็นมิตรระหว่างผู้นำประเทศ เมื่อมีความขัดแย้งก็ควรจะหาทางสำรวจมิตรภาพระหว่างกันมากขึ้น
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องลบอัตลักษณ์หรือตัวตนของเราทิ้งไปเสียหมด มันเป็นเรื่องของสำนึก เป็นเรื่องที่มากกว่าการคาดคำนวณ หรือการเล่นเกมกฎหมาย
แน่นอนโลกนี้มีประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรม มีความขัดแย้ง
แต่ก็มีเรื่องของความเข้าใจ ความพยายามที่จะอยู่ร่วมกัน แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ความแตกต่างที่ไม่แตกแยกถึงขั้นแตกหัก
ผมเชื่อว่ายังทัน ถ้าสังคมส่งสารไปยังผู้นำของทั้งสองฝ่าย และคงมิตรภาพระหว่างกันเอาไว้