ผู้เขียน | โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ |
---|
การปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2568
วันศุกร์ที่ 13 ตามความเชื่อของฝรั่ง ถือเป็นวันแห่งความโชคร้าย หรือวันอาถรรพ์ เนื่องจากความเชื่อที่ว่า เลข 13 เป็นเลขไม่เป็นมงคล และวันศุกร์เป็นวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้ายที่มีผู้ร่วมการเลี้ยงครั้งนี้ 13 คนนั่นเอง
ในช่วงวันใหม่ของวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2568 ที่เพิ่งผ่านมานี้ทางการอิสราเอลได้เริ่มปฏิบัติการสิงโตผงาด (Operation Rising Lion) ด้วยการส่งเครื่องบินรบ F-35I กว่า 200 เครื่องบินแฝงกายผ่านน่านฟ้าอิหร่าน ทิ้งระเบิดเข้าใส่เป้าหมายระเบิดลงบน 3 เมืองหลักที่มีศูนย์นิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่าน คือ เมืองนาทันซ์ (Natanz) เมืองฟอร์โดว์ (Fordow) และเมืองอีสฟาฮาน (Isfahan) และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์อื่นๆ รวมกว่า 100 จุด เป้าหมายไม่ใช่แค่สิ่งปลูกสร้าง หากเป็นจิตวิญญาณของระบบนิวเคลียร์และเครือข่ายข่าวกรองของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps, IRGC)
ปฏิบัติการสิงโตผงาดไม่ใช่เพียงส่งเครื่องบินรบเข้าไปในอิหร่านเท่านั้น สายลับอิสราเอลของมอสซาด (Mossad) ได้แฝงตัวอยู่ในสนามข่าวกรองภายในอิหร่านมาเนิ่นนาน ได้ลอบสังหารนายทหารอิหร่านระดับสูงอย่างน้อย 20 ราย และมีนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์สูญเสียชีวิตถึง 9 คน เป็นคนสำคัญระดับสุดยอด 4 คน คือ พล.อ.ฮอสเซน ซาลามี ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองกำลังพิทักษ์อิสลาม ผู้นำทหารทรงอิทธิพลของอิหร่าน กับ พล.ต.โกลัม อาลี ราชิด ผู้เป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการกลางแห่งคาตอม อัล-อันบียา และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่าน 2 คน คือนายฟเรย์ดูน อับบาซี ผู้เป็นอดีตผู้อำนวยการองค์การพลังงานปรมาณู กับนายโมฮัมหมัด เมห์ดี เทห์รันจี นักวิจัยนิวเคลียร์, อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยอิสลามอาซาด
แม้ว่าทางการอิสราเอลส่งเครื่องบินกว่า 200 ลำในกองบินครั้งนี้ เปรียบได้กับ “บทเพลงรบเต็มวงออร์เคสตรา” ที่มีการผสานข่าวกรองระดับเป้าหมายเป็นตัวบุคคล (microtarget) ที่ชาญฉลาด และโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำ (precision guided munitions) ทิ้งระเบิดได้ตรงจุดที่ระบบไฟฟ้า และที่ตั้งของเครื่องหมุนเหวี่ยง (centrifuges) ขั้นสูง และที่สถานีย่อยของเมืองนาทันซ์ ถูกจัดกลุ่มเป้าตามค่าคาดล่วงหน้า ถึงแม้ว่าทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency: IAEA) จะรายงานว่าไม่มีรังสีรั่วไหลอย่างร้ายแรง แต่ก็ระบุว่าการโจมตีแบบนี้ได้ชะลอโครงการ เสริมสมรรถภาพแร่ยูเรเนียมได้หลายเดือนหรือหลายปี โดยเฉพาะเมื่อเครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuge) เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง เพื่อนำไปใช้แยกสารหรืออนุภาคไม่สามารถทำงานภายใต้แรงสั่นสะเทือนได้
ทันทีทันควันเลย ในค่ำคืนของวันที่ 13 มิถุนายน วันเดียวกับที่อิสราเอลโจมตีอิหร่านนั้น ทางการอิหร่านเปิดปฏิบัติการคำมั่นสัญญาที่แท้จริง III (Operation True Promise III) ตอบโต้ฝ่ายอิสราเอลด้วยขีปนาวุธกว่า 150 ลูก และโดรนมากกว่า 100 ลำ ที่บินโจมตีอิสราเอลอย่างหนักหน่วง
เสียงไซเรนทั่วอิสราเอลดังขึ้น ผลคือบรรดาระบบป้องกันน่านฟ้าของอิสราเองไม่ว่าจะเป็น Iron Dome และ David’s Sling และ Arrow ถูกทดสอบหนัก โดยทำการยิงโต้ตอบการโจมตีขีปนาวุธและโดรนอย่างไม่หยุดหย่อนแต่ระเบิดของอิหร่านบางลูกที่หลุดทะลุระดับป้องกันสูงสุด พร้อมได้พุ่งเข้าชนอาคารในนครเทลอาววีฟ และ
กรุงเยรูซาเล็ม จนเกิดความเสียหาย บางพื้นที่เป็นคอนโดมิเนียมถูกระเบิดพุ่งชน, พื้นที่ชั้นล่างของอาคารหลายแห่งพังทั้งแผง หน้าต่างถล่มจนพลเรือนบาดเจ็บหลายสิบราย
ตัวเลขจากสำนักข่าวรอยเตอร์และการ์เดี้ยน อ้างว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย รวมพลเรือนกับทหารบาดเจ็บประมาณ 90 ราย ซึ่งนับว่าต่ำกว่าคาด แต่ก็ถือว่าไม่น้อยสำหรับการตอบโต้ที่มีความเข้มข้นสูง แม้ตัวเลขไม่มาก แต่ภาพไม่อาจลบ คือภาพ “เตียงพัง ผนังแตกร้าว” สังคมอิสราเอลทั้งรัฐและประชาชนต่างเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ไม่มีใครนิ่งเฉย
อิหร่านเรียกปฏิบัติการคำมั่นสัญญาที่แท้จริง III ว่าเป็นการตอบโต้ที่ไร้ปราณี เพื่อแสดงศักยภาพและส่งสัญญาณทั้งแก่อิสราเอลและประชาคมโลก โดยเป็นการประกาศว่าอิหร่านยังมีอำนาจยิงตอบได้ แม้อำนาจการทำลายจะจำกัด แต่ความยิ่งใหญ่ทางมโนภาพก็ได้เกิดขึ้นจากภาพความเสียหายของอิสราเอลที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตาชาวโลก
การเลือกใช้โดรนจำนวนมากต่อเนื่องยังสะท้อนแนวคิดยุทธศาสตร์แบบหลากหลาย คือด้านหนึ่งเป็นการทดสอบระบบ ป้องกันน่านฟ้าของอิสราเอล ด้านหนึ่งเป็นสงครามจิตวิทยาในตัว เปรียบเหมือนการส่งแรงสะเทือนแบบหยั่งเชิง เพื่อให้ตระหนักว่านี่คือขีดจำกัดในการโจมตีฝ่ายเดียวของอิสราเอล เพราะอิหร่านแสดงว่ายังมีความสามารถและศักยภาพสามารถยิงขีปนาวุธและส่งโดรนพลีชีพโต้ตอบอิสราเอลกลับได้ทันควันเหมือนกัน
แต่ภาพทั้งหมดนี้จะยังไม่ได้ขยายออกเป็นสงครามเต็มรูปแบบ เพราะทั้งสองชาติยังยึดครองแนวกันชนไว้อย่างรัดกุม ระบบป้องกันน่านฟ้าของอิสราเอลสามารถสกัดการโจมตีจากอิหร่านได้เกือบทั้งหมด ด้านอิหร่านก็จัดการโดรนผ่านขั้นตอนออกคำแถลงล่วงหน้าให้พลเรือนหลบหลีกก่อน ทุกฝ่ายยังแสดงว่า ยังไม่ต้องการเหนี่ยวไกเพิ่ม แต่ภาพของสงครามในใจโลกได้ถูกเขียนใหม่แล้วทั้งรูปแบบยุทธศาสตร์และขีดจำกัดทางเทคโนโลยี
กลุ่มพันธมิตรของอิหร่านในภูมิภาค เช่น กลุ่มฮูตีในเยเมน อ้างว่ายิงขีปนาวุธต่อเนื่องไปยังเมืองฮีบรอนใน เขตเวสต์แบงก์ของอิสราเอลเช่นกัน แม้ผลกระทบทางกายภาพจะเล็กน้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการขยายแนวรบออกไปยังจุดต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับภูมิรัฐศาสตร์ประเภทแกนร่วมการต่อต้าน (Axis of Resistance) แม้ว่าฮามาสหรือฮิซบอลเลาะห์จะถูกลดขีดความสามารถลง แต่การตอบโต้ของอิหร่านยังคงสะท้านจิตใจของพันธมิตรยิวด้านภูมิรัฐศาสตร์
ในระดับกฎหมายระหว่างประเทศ การตอบโต้เช่นนี้ถูกตรวจสอบอย่างใกล้ชิด จากมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติจะยอมให้ใช้ “การป้องกันตัวของรัฐ” แต่เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการตอบโต้ที่ถูกออกแบบให้ “เป็นลำดับการโจมตีจริง” แต่ยังอยู่ในกรอบจำกัด และไม่เป็นการโจมตีเชิงรุกรานเต็มที่ หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าเหตุการณ์นี้ กระทำตามหลักความจำเป็น (necessity) และได้สัดส่วน (proportionality) หรือไม่? เมื่อเทียบกับผลกระทบทางพลเรือนที่เกิดขึ้น แม้จะไม่มากแต่ก็มีน้ำหนักทางกฎหมาย จึงไม่อาจลูบหน้าปะจมูกกันได้ง่ายๆ
ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องศัตรูต่อศัตรู แต่มันคือบททดลองของยุทธศาสตร์การทหารยุคใหม่ โดยเฉพาะการใช้ฝูงโดรนโจมตี (drone swarm) หรือขีปนาวุธ (ballistic missile) ร่วมกันในพิกัดเดียว จัดเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่แท้จริง
ด้านเศรษฐกิจ เงื่อนไขนี้สะท้อนไปทั่วโลก โดยตลาดน้ำมันพุ่ง 7-13% ทองคำ เงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งตามแรงเทขาย และนักวิเคราะห์เตือนเรื่องสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำพร้อมภาวะเงินเฟ้อ (stagflation) ที่อาจกลับมาอีก และความเสี่ยงชัดเจนว่า ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และความเชื่อมั่นต่อเส้นทางเดินเรือสำคัญอาจได้รับอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงหากความตึงเครียดถูกดึงเข้าสู่ช่องแคบ ฮอร์มุซ หรือทะเลแดง
ท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2568 ไม่ใช่แค่บททดสอบทหารและเทคโนโลยี แต่เป็น “บทเรียนแห่งยุคสมัย” ที่เชื่อมโยงกับกฎหมายสากล, การเงินโลก, การทูตหลากหลายแกน และอนาคตของภูมิภาค ความจริงหนึ่งที่ไม่มีใครหลบได้ คือเสียงระเบิดในวันนั้นได้เปลี่ยนแนวเขตเส้นของโลกที่เราเข้าใจ ไม่ใช่เฉพาะเขตแดนทางกายภาพ แต่เป็นเส้นแบ่งของความคิด ความเชื่อ และการเมืองโลกตลอดไป