คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ‘(เหมียว)ข้าวมันไก่’ ซอฟต์พาวเวอร์

ถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธารมีอันต้องจบลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าถามว่าผมจะเสียดายเรื่องอะไรที่สุด ก็คงเป็นนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ และความพยายามจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency – THACCA)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีไวรัลงงๆ ในโลกโซเชียลของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น คือ #ข้าวมันไก่ ที่กลายเป็นไวรัล โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น แฮชแท็ก # カオマンガイ ที่ทับศัพท์จากคำว่า “ข้าวมันไก่” ในภาษาไทยกลายเป็นคำฮิตติดเทรนด์ของทวิตเตอร์ไปช่วงหนึ่ง

ที่มาก็เพราะในการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง Mobile Suit Gundam GQuuuuuuX (เรียกง่ายๆ ว่า กันดั้มจีควักซ์) ที่ฉายในโทรทัศน์ช่อง Nippon TV มีฉากที่เอาจริงก็ไม่สำคัญเท่าไร โดยตัวละคร “เนี้ยง” เอ่ยขึ้นมาว่า อาหารที่เธอทำกินวันนี้ คือ “ข้าวมันไก่” ด้วยภาษาไทย แล้วก็จะเอา “ข้าวมันไก่” นี้ไปฝากท่านคิซิเรียที่เป็นเจ้านายของเธอ ซึ่งเซเวียร์คู่หูนักบินของเธอก็ถามซ้ำว่า หมายถึง chicken rice เหรอ

ก่อนหน้านี้ราวสองสัปดาห์การ์ตูนแอนิเมชั่นคลาสสิก “โดราเอมอน” ก็เพิ่งจะมีตอนใหม่ชื่อ “อยากเจอแมวตัวนั้นที่ประเทศไทยจัง” โดยเป็นตอนที่โดราเอมอนกับโนบิตะมาตามรอยน้องแมวสีสวาทหรือแมวโคราชตัวหนึ่งที่เห็นในรูปถ่าย ก่อนจะจบลงที่โดราเอมอนและโนบิตะได้เข้าร่วมประเพณีแห่นางแมวเรียกฝนกับเพื่อนใหม่ชาวไทยด้วย

การ์ตูนโดราเอมอนตอนนี้เปิดเรื่องด้วยการโอ้อวดของซึเนโอะที่เพิ่งกลับจากเที่ยวเมืองไทย แล้วเอารูปถ่ายและของฝากมาอวดเพื่อนรัวๆ ว่าได้ไปเที่ยวทะเลที่หาดบางแสน ไปขี่ช้างที่อยุธยา มากินไก่ย่าง (ที่เรียกว่ายากิโทริแบบไทย) และ “ข้าวมันไก่” ที่ไม่ต้องมีคำอธิบาย

ADVERTISMENT

สำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว “ข้าวมันไก่” เป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียก “ข้าวมันไก่” แบบไทย ที่แม้จะมีที่มาจากสิงคโปร์หรือไหหลำ แต่ “ข้าวมันไก่” ในภาษาญี่ปุ่น (ที่เขียนด้วยตัวอักษรโรมันจิ Khao Man Gai ทับศัพท์จากภาษาไทย) นั้นจะหมายถึง “อาหารไทย” ประเภทนี้เท่านั้น

ไปเจอคำอธิบายโดยบังเอิญในซีรีส์เรื่อง “Turn to me Mukai kun” (Kocchi Muite yo Mukai-kun) ทาง Netflix ซึ่งจริงๆ เป็นซีรีส์เก่าตั้งแต่ปี 2023 แล้ว คือในเรื่องจะมีสถานที่สำคัญในเรื่องที่เป็นเหมือน “ฐานพักใจ” ให้ตัวละครแต่ละตัวในเรื่องได้กลับมาเจอกัน เป็นร้านขายแกงกระหรี่สไตล์เอเชียของน้องเขยตัวเอกชาย ชื่อร้าน “ไปแล้ว” เขียนด้วยตัวอักษรไทย กำกับคำอ่านด้วยตัวคาตาคานะ
[パイレオ] แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับประเทศไทย ร้าน “ไปแล้ว” ที่ว่าก็ไม่ได้ขายอาหารไทยเสียทีเดียว ยกเว้นบางเมนูของร้านที่ทับศัพท์ภาษาไทย อย่าง “ปูผัดผงกะหรี่” หรือ “ทับทิมกรอบ” และถ้าใครตาดีจะเห็นป้ายภาษาไทยของอาคารข้างๆ เขียนว่า “ยินดีต้อนรับคนแต่งงานแล้ว” อยู่ด้วย

มีฉากหนึ่งที่ตัวละครสำคัญของเรื่องสองคนได้สนทนากันในปัญหาว่า “ข้าวหน้าไก่” (Chicken Rice) ที่เป็นอาหารสิงคโปร์นั้นไม่ใช่ “ข้าวมันไก่” หรอกเหรอ ซึ่งก็ได้รับคำอธิบายจากตัวละครที่เชี่ยวชาญเรื่องอาหารว่า “(ร้านสิงคโปร์) เขาว่าเหมือนกัน แต่ไม่หรอก ข้าวมันไก่ของไทยแตกต่างที่น้ำจิ้มยังไงล่ะ”

เรื่องนี้ถ้าใครที่ติดตามข่าวสารทางสังคมวัฒนธรรมจากประเทศญี่ปุ่นมาตลอดคงจะพอทราบว่าในช่วงสองสามปีนี้ “วัฒนธรรมไทย” เป็นวัฒนธรรมกระแสรองที่กำลังโดดเด่น เราจะพบว่ามีการใส่ภาษาไทยหรืออะไรที่ “เป็นไทยๆ” ลงไปในสื่อต่างๆ ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้นดังตัวอย่างต่างๆ ที่ได้เล่าไปแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากกระแส “คลั่งไทย” หรือ “ไทนุมะ” (Tainuma)

กระแสที่ทำให้เกิด “ซอฟต์พาวเวอร์ของไทย” ที่ว่านี้ขึ้นมาในญี่ปุ่นนั้น เป็นผลมาจากการสั่งสมกันมาเป็นเวลานาน โดยต้นทางที่มีส่วนสำคัญที่สุดในเรื่องนี้คือผลงานซีรีส์ นิยาย และการ์ตูนแนวบอยเลิฟหรือ “วาย” ของไทย (และมีเกิร์ลเลิฟหรือยูริด้วยในช่วงหลังๆ) ได้รับความนิยมอย่างสูงในญี่ปุ่น ส่งผลให้การเรียนภาษาไทยได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงกระแสความชื่นชอบหลงใหลในวัฒนธรรมไทยอื่นๆ ทั้งอาหารไทยและวิถีชีวิตแบบคนไทย ทั้งหมดทั้งมวลสั่งสมจน “วัฒนธรรมไทย” ทั้งอาหารและภาษาถูกนำมาแทรกสอดไว้ในสื่อบันเทิงต่างๆ

สำหรับ โมบิลสูท กันดั้ม จีควักซ์ นั้น เป็นภาคหนึ่งของ “กันดั้ม” ที่เป็นการ์ตูนระดับขึ้นหิ้งที่มีอายุเกือบ 40 ปี ในภาคนี้มีเด็กสาวนามว่า “เนี้ยง” เป็นหนึ่งในตัวละครที่ก็ถูกตั้งข้อสังเกตมานานแล้วว่าน่าจะเป็นคนที่มีเชื้อสายไทยเพราะรูปลักษณ์ที่ผิวค่อนข้างคล้ำกว่าตัวละครอื่น และในที่ทำงานหรือในห้องพักส่วนตัวของเธอยังพบการใช้ภาษาไทยตามจุดต่างๆ เช่นบนบอร์ดสั่งงานและปฏิทินที่เป็นตัวเลขไทย เคยไปกินอาหารที่ร้านที่มีต้นแบบมาจาก “เล่าลี่หูฉลามเฉลิมบุรี” ซึ่งเขียนด้วยตัวอักษรภาษาไทย

การที่เนี้ยงพูดคำว่า “ข้าวมันไก่” จึงเหมือนอีกคำใบ้ที่บอกว่าเด็กสาวน่าจะมีเชื้อสายไทย และถ้าเป็นอย่างนั้น ชื่อของเธอก็ควรจะเป็น “เหมียว” ที่เป็นคำถอดเสียงร้องของแมวในภาษาไทย เพราะคำว่า “เนี้ยง” คือคำแทนเสียงแมวร้องในภาษาญี่ปุ่น

หลังจากนั้น ก็มีคนไปพบเพจของร้าน “เหมียวข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู สาขาหน้าวัดทุ่ง” แฟนๆ กันดั้มก็เลยแห่ไปแซวกันยกใหญ่ว่า นี่ใช่ร้านของน้องเนี้ยง (เหมียว) ลงจากโคโลนีมาเปิดหรือเปล่า

เมื่อเจ้าของร้านเปิดเพจขึ้นมาในตอนเช้าพบการกดไลค์และแชร์ล้นหลามหลักพัน ถึงกับโพสต์ว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร้านฉัน…”

ปรากฏการณ์ “(เหมียว) ข้าวมันไก่” คือตัวอย่างเล็กๆ ที่ชัดเจนสำหรับอธิบายการทำงานของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ตามความหมายของโจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวอเมริกันผู้ที่เพิ่งล่วงลับไปในปีนี้ ที่หมายถึง “พลังทางวัฒนธรรมที่ดึงดูดใจซึ่งมีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้ผู้อื่นคล้อยตามจนยอมทำตามในสิ่งที่ต้นทางซอฟต์พาวเวอร์นั้นต้องการหรือเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายนั้นด้วยความสมัครใจ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังขู่เข็ญหรือใช้เงินจ้างให้ทำ” ได้เป็นอย่างดี

แอนิเมชั่น กันดั้มจีควักซ์ ไม่ใช่ “ต้นทาง” หรือผู้สร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ประเทศไทย แต่ในทางกลับกัน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลจาก “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยชี้นำโน้มน้าวจนกลายเป็นผู้ช่วยโฆษณาวัฒนธรรมภาษาและอาหารไทยให้แฟนๆ กันดั้มทั่วโลก โดยที่ภาครัฐ เอกชน หรือวงการข้าวมันไก่ไทยไม่ได้ไปจ่ายเงินให้สักบาท

ที่ก็เพียงพอที่จะสร้างอิทธิพลให้ในวันรุ่งขึ้น การกิน “ข้าวมันไก่” เป็นกระแสที่แฟนกันดั้มรวมถึงบรรดาคนดังในแวดวงการ์ตูนแอนิเมะในญี่ปุ่นไปกินแล้วติดแฮชแท็กตามๆ กัน รวมถึงยังส่งผลพวงเล็กๆ กลับมาที่ประเทศไทยให้ร้านข้าวมันไก่ร้านหนึ่งในซอยวชิรธรรมสาธิต 74 ใกล้ถนนศรีนครินทร์ได้กลายเป็นที่รู้จักและเป็นไวรัลในสื่อสังคมออนไลน์ไปแบบงงๆ

หลังจากที่เจ้าของร้านเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร้านของตนก็ได้อาศัยโอกาสที่ร้านกำลังเป็นไวรัลแบบงงๆ นี้ มาส่งเสริมการขายของร้านได้แบบทันกระแส เริ่มจากตั้งแฮชแท็ก #กันดั้มต้องแวะ เตรียมวางระบบเดลิเวอรี่สำหรับแฟนกันดั้มที่อยู่ไกล และสร้างตัวละครแมสคอตของร้านเองด้วยการให้ลูกชายวาดให้ ไม่ได้ใช้ AI รวมถึงการแชร์ทุกรีวิวของแฟนกันดั้มที่ได้ไปกินถึงที่ร้าน และช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา คุณเหมียวเจ้าของร้านก็ได้แต่งคอสเพลย์เป็นตัวการ์ตูนที่เป็นแมสคอตของร้านเอง ร่วมสนุกกับแฟนๆ กันดั้มที่แห่กันไปกินข้าวมันไก่ที่ร้านนี้อย่างล้นหลามด้วย

เรื่องราวของ “เหมียวข้าวมันไก่” นี้นอกจากจะเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนเห็นภาพถึงการทำงานของ “ซอฟต์
พาวเวอร์” แล้ว ตัวเจ้าของร้านข้าวมันไก่เอง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้โอกาสจากซอฟต์พาวเวอร์และกระแสไวรัลในโซเชียลมาใช้เป็นประโยชน์ให้กิจการของตัวเองด้วย

กระแสในโลกอินเตอร์เน็ตนั้นไปเร็วมาเร็ว ไวรัล “เหมียวข้าวมันไก่” นี้ให้เวลาเต็มที่อย่างมากก็คงได้อีกสักสัปดาห์ แต่ร้านนี้สามารถคว้าโอกาสไว้สำเร็จแล้วเพราะชื่อเสียงของร้านที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นมา ประกอบกับที่คนที่ไปกินแล้วก็รีวิวตรงกันว่า ข้าวมันไก่ของที่ร้านก็อร่อยมากกว่าร้านทั่วๆ ไปจริงๆ ไม่ใช่แค่มากินเอาสนุกตามกระแส (เพราะจริงๆ พอไปหาข้อมูลก็พบว่าร้านนี้ก็เป็นร้านดังแถวนั้นอยู่แล้ว) ทำให้คนที่ชอบกินข้าวมันไก่หรือได้รู้ข่าวนี้ ก็มีลายแทงร้านข้าวมันไก่อร่อยๆ เพิ่มเติมในความรับรู้ ที่ถ้าแวะไปแถวนั้นก็จะได้ไปกินกัน หรือสั่งทางเดลิเวอรี่เอาก็ได้เพราะร้านก็ได้สร้างระบบไว้แล้ว

จากจุดแข็งเดิมของร้านที่มีผลิตภัณฑ์เป็น “ข้าวมันไก่” และข้าวขาหมูจะมีคุณภาพดีอร่อยจริงแล้ว ไปผนวกกับจุดขายได้มาจากกระแสไวรัลที่ทางร้านได้ตั้งรับอย่างดีทันท่วงทีก็เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของร้านขึ้นมาได้ แม้ในภายหลังกระแสนี้จะซาลงไปก็ตาม

ขอทำตัวหนาไว้ตรงนี้ว่า แน่นอนว่าที่กล่าวถึงเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การเคลมว่านั่นเป็นผลมาจากการทำงานของ THACCA และนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล

เพราะอย่างที่ได้อธิบายไปแล้วว่า “กระแสไทย” นี้มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและสั่งสมมาเป็นระยะเวลาหลายปีจากผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมของไทย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็อาจจะเป็นคำอธิบายที่มีน้ำหนักว่าทำไมเรา “ต้อง” สนับสนุนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์และโครงการต่างๆ ในลักษณะนี้ต่อไป ในขณะที่จุดแข็งด้านอื่นๆ ของไทยในทางธุรกิจ อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวในรูปแบบเดิมกำลังจะกลายเป็นอดีต เราเริ่มเสียความสามารถในการแข่งขันไปให้ผู้ที่ใหม่ สด และราคาถูกกว่า

แต่อาวุธที่เราเหลืออยู่คือพลังของ “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่ในตอนนี้มันเริ่มทำงานของมันแล้ว และมันจะทำงานได้ดีขึ้นไปอีกเมื่อได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้องจากรัฐบาล เพื่อในที่สุดมันจะเป็น “จุดแข็ง” สำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวของไทยที่ไม่มีใครลอกเลียนได้

เหมือนที่อาหารหน้าตาเหมือน “ข้าวมันไก่” นั้นที่ไหนก็มี แต่ถ้าเป็น “ข้าวมันไก่” ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกทับศัพท์ด้วยภาษาไทยนั้น คือ “ข้าวมันไก่” อันเป็นเอกลักษณ์ที่ถ้าชอบอาหารชนิดนี้ควรมากินให้ได้ที่ประเทศไทย

อาจจะเพราะส่วนตัวเป็นคนในแวดวงการเขียนหนังสือ แต่งนิยาย และสนใจในงานสร้างสรรค์ของคนไทยในแขนงอื่นๆ ด้วย ทำให้ได้รับรู้ว่าอนุกรรมการด้านต่างๆ ภายใต้โครงการซอฟต์พาวเวอร์นี้ ต่างก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ แม้จะถูกพวกหูหนาตาเล่อล้อเลียนว่าเป็น “พลังนุ่มนิ่ม” หรือหลับหูหลับตาโวยวายว่าใช้เงินเปลืองโดยไม่มีผลงานก็ตาม

แต่สำหรับผู้คนในวงการสร้างสรรค์ต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการซอฟต์พาวเวอร์ทั้งทุนในการแปล การสร้างสรรค์ผลงาน และช่องทางการกระจายและขายในระดับโลกก็คงหวังกันว่า ในอีกไม่ช้า อาจจะสองหรือสามปี สิ่งนี้จะได้ออกดอกออกผลไปผสมรวมกับพลังซอฟต์พาวเวอร์ไทยอื่นๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาแล้วก่อนหน้าให้เข้มแข็ง กลายเป็น “เทอร์โบ” เพิ่มพลังให้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจของไทยอื่นๆ ให้กลับมามีความสามารถในการแข่งขันในยุคต่อไปได้

นี่คือเหตุผลที่เขียนไว้ตอนต้นว่า “ถ้าถามว่าจะเสียดายเรื่องอะไรที่สุดถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธารมีอันต้องจบลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ก็คงเป็นนโยบายซอฟต์พาวเวอร์…”