ไทยพบพม่า : แรร์เอิร์ธกับการแย่งชิงทรัพยากรในพม่า โดย ลลิตา หาญวงษ์

แรร์เอิร์ธ – คงไม่มีใครปฏิเสธว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่พม่ายังเป็นที่จับตามองของทั่วโลกก็เพราะทรัพยากรที่ยังอุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ และพื้นที่อันกว้างขวาง ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก แต่ปัญหาใหญ่ของพม่าคือการขาดเสถียรภาพทางการเมือง การผูกขาดอำนาจของกองทัพและเครือข่าย และความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ที่มีรากเหง้ามานับร้อยปี ภายใต้สภาวะไม่ปกติ และสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมาร่วม 8 ทศวรรษ ซึ่งยิ่งรุนแรงขึ้นหลังรัฐประหารปี 2021 การพึ่งพารายได้จากทรัพยากรที่พม่ามี จึงเป็นความจำเป็นของรัฐบาลทหาร และกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศ เพื่อที่จะสร้างและเพิ่มรายได้ให้กับกองทัพของแต่ละฝ่าย

ท่ามกลางสภาพสุญญากาศทางการเมืองในวันนี้ รัฐบาลพม่าที่เนปยีดอเองยังคงมีรายได้มหาศาลจากสัมปทานที่ให้กับนักธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติ เข้าไปลงทุนในพม่า ในกรณีของประเทศไทย ไทยยังคงนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเป็นอันดับหนึ่ง จากข้อมูลของศูนย์ธุรกิจไทยในเมียนมา ในปี 2024 การค้าระหว่างไทยกับพม่ามีมูลค่ารวม 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการส่งออกไปเมียนมา 146,261.96 ล้านบาท และการนำเข้า 106,967.31 ล้านบาท โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 39,294.65 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ก๊าซธรรมชาติจากพม่าอาจจะมีสัดส่วนน้อยกว่าพอสมควร แต่ก็ต้องยอมรับว่าแหล่งพลังงานในพม่า มีความหมายต่อความมั่นคงทางพลังงานของไทยอย่างยิ่ง

ตั้งแต่รัฐประหารปี 2021 พม่าเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรจากนานาประเทศ โดยเฉพาะฝั่งโลกตะวันตก แต่ธุรกิจของกองทัพและนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาล SAC เติบโตขึ้น ผ่านการเปิดสัมปทานใหม่ๆ และการค้าขายกับประเทศที่ไม่คว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งมีมากกว่าฝ่ายที่คว่ำบาตร ในบรรดาทรัพยากรแห่งทศวรรษ ที่มีผู้ให้ความสนใจมากขึ้น คือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) หรือกลุ่มแร่หายาก ซึ่งประกอบไปด้วยแร่หลายชนิด ที่ไม่ได้มีหายาก (rare) อย่างที่เข้าใจกัน เพียงแต่พบกระจายอยู่ในปริมาณเล็กๆ ตามหินแร่ทั่วไป กระบวนการสกัดแร่หายากออกจากหินดิบยาก ซับซ้อน และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าสินแร่ทั่วๆ ไป

ความสำคัญของแร่แรร์เอิร์ธที่ถูกยกย่องให้เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือเป็นส่วนประกอบหลักของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ชิป แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม แม่เหล็กถาวร เลเซอร์ จอภาพ LED โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ไอทีอีกมากมาย ประเทศที่มีปริมาณแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน บราซิล และอินเดีย เมื่อเทคโนโลยีแห่งอนาคตต้องใช้แร่แรร์เอิร์ธในปริมาณมาก การแสวงหาแหล่งสินแร่ใหม่ๆ ย่อมจำเป็นสำหรับเจ้าแห่งการผลิตเทคโนโลยีอย่างจีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ผลที่ตามมาจากการตามล่าหาแรร์เอิร์ธทั่วโลก คือเกิดเหมืองเถื่อนในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก การทำเหมืองที่ไร้ธรรมาภิบาลและการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมนี้กำลังสร้างความลำบากให้หลายประเทศ กรณีที่เห็นได้ชัดที่สุดคือมลพิษในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ที่ในปัจจุบันมีสารหนูและโลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน หรือปัญหามลพิษคล้ายคลึงกันในรัฐคะฉิ่นทางตอนเหนือของพม่า

ADVERTISMENT

ในบรรดาแรร์เอิร์ธทั้ง 17 ชนิด มีอยู่ 2 ชนิดที่พม่าผลิตได้ และผลิตได้ในปริมาณมาก ได้แก่ ดิสโปรเซียม (dysprosium) และ เทอร์เบียม (terbium) แหล่งของแรร์เอิร์ธทั้งสองประเภทพบมากที่รัฐ
คะฉิ่น และยังพบได้ในบางพื้นที่ของรัฐฉาน จากสถิติการค้าของจีนในปี 2023 จีนนำเข้าแรร์เอิร์ธจากพม่ามากถึง 41,700 ตัน มากกว่าปริมาณที่จีนผลิตแร่ทั้ง 2 ตัวนี้ได้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าขึ้นชื่อว่า “แรร์เอิร์ธ” ต้องใช้กระบวนการสกัดที่ยุ่งยาก ใช้สารเคมีในปริมาณมาก และก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมดังที่เกริ่นไปข้างต้น การที่จีนนำเข้าแรร์เอิร์ธจากพม่าถึง 4 หมื่นตันภายในปีเดียว ย่อมแสดงให้เห็นสรรพกำลังของบริษัททำเหมืองของจีน และความต้องการแรร์เอิร์ธเพื่อป้อนภาคอุตสาหกรรมในจีน

นี่อาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลว่าเหตุใดจีนจึงไม่มีทางปล่อยมือพม่า แม้พม่าจะจมอยู่กับปัญหาการเมืองภายในมายาวนาน แต่จีนใช้ช่องที่เกิดความว่างเปล่าทางการเมืองและภาวะสงคราม เข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่พม่ามี ทั้งดิสโปรเซียมและเทอร์เบียมเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตแม่เหล็กพิเศษ ซึ่งใช้กับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ และกังหันลม อุตสาหกรรมในยุโรปเองก็พึ่งพาการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากจีน ในปี 2024 เยอรมนีนำเข้าแรร์เอิร์ธทั้งสองชนิดจากจีนมากเป็นอันดับต้นๆ และกระแสของรถยนต์ไฟฟ้ากับพลังงานทดแทน ยิ่งเพิ่มปริมาณความต้องการแรร์เอิร์ธในยุโรป แน่นอนว่าหลังรัฐประหาร สหภาพยุโรปคว่ำบาตรรัฐบาลทหาร และไม่สามารถทำธุรกิจกับพม่าได้โดยตรง แต่เมื่อแรร์เอิร์ธในพม่าถูกส่งต่อไปทั่วโลก ผ่านบริษัทของจีน ก็ยิ่งทำให้ความต้องการแรร์เอิร์ธในพม่าเพิ่มสูงขึ้น และยิ่งทำให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพม่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ด้วยสภาวะสงคราม กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์คือผู้ควบคุมเหมืองแรร์เอิร์ธ การรักษาสิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการคำนึงถึงความยั่งยืน ไม่ได้เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เมื่อเทียบกับเงินสำหรับการซื้ออาวุธและการสั่งสมกำลังทางทหาร แรร์เอิร์ธกลายเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ต่อรองทางการเมือง เมื่อไม่นานมานี้ กองกำลังปลดปล่อยคะฉิ่น (Kachin Independence Army หรือ KIA) เข้ายึดเหมืองแรร์เอิร์ธและเส้นทางการค้ากับจีนไว้ได้ และเริ่มกำหนดภาษีส่งออกแรร์เอิร์ธที่ขายให้จีนด้วยตนเอง

สภาของสหภาพยุโรปมีความพยายามจะลดการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากจีน แต่เพราะจีนเป็นผู้ส่งออกแรร์เอิร์ธอันดับหนึ่งของโลก ยุโรปและประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ ย่อมประสบปัญหาคล้ายๆ กัน เมื่อไม่ต้องการนำเข้าแรร์เอิร์ธจากจีน และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะหาแรร์เอิร์ธทดแทนที่ไม่ได้มาจากจีนได้ เยอรมนีมีกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Due Diligence Act) มาตั้งแต่ปี 2023 ที่ให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องสำแดงแหล่งที่มาของห่วงโซ่อุปทานของตนว่าไม่ได้มาจากประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งแวดล้อม

ต้องยอมรับว่ากระแสการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของโลกในปัจจุบันพึ่งพาแรร์เอิร์ธมากขึ้น บางครั้งโลกก็ต้องกลับมาคิดใหม่ว่าพลังงานที่สะอาด ที่ผลิตมาจากกังหันลม หรือรถยนต์ไฟฟ้านั้น “สะอาด” จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วพลังงานที่สะอาดกลับสร้างภาระให้กับผู้คนชายขอบในประเทศที่เผชิญกับสงครามและความไม่เท่าเทียมอย่างพม่า และอีกหลายประเทศในแอฟริกา