ที่มา | คอลัมน์ : ภาพเก่าเล่าตำนาน |
---|---|
ผู้เขียน | พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก |
ชาวเวียดนามเป็น “ชนกลุ่มน้อย” ที่มีจำนวนมากที่สุดในแผ่นดินกัมพูชา อาจจะมีเกือบ 1 ล้านคน ในพื้นที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำและโตนเลสาบและแม่น้ำโขง
แต่ไหนแต่ไร ชาวเวียดนามที่อพยพ ย้ายถิ่นฐาน หนีภัยสงคราม ไปอยู่ในดินแดนเขมรไม่กลมกลืนนักกับชาวเขมร แปลกแยกทางวัฒนธรรมเพราะชาวเขมรรับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากอินเดีย ในขณะที่ชาวเวียดนามรับอิทธิพลมาจากจีน
นับร้อยปีที่ผ่านมา มีความหวาดระแวง มีเหตุตึงเครียดระหว่างคนทั้ง 2 เชื้อชาติเกิดขึ้นตลอดมา …ชาวเวียดนามตกเป็นเป้าหมาย ตกเป็นเหยื่อการทำร้าย ด้วยอคติต่อชาวต่างชาติโดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่วิพากษ์วิจารณ์ นโยบายของฮุน เซน มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990
ชาวเขมรเชื้อสายเวียดนาม ที่ไม่มีสัญชาติจำนวนมากประสบปัญหาในการเข้าถึงการศึกษา การจ้างงาน และที่อยู่อาศัย
ชาวเวียดนามกลุ่มแรกๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกัมพูชาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ในสมัยของขุนนางเหงียน ชาวเวียดนามส่วนใหญ่อพยพเข้ามาที่กัมพูชาในช่วงที่ฝรั่งเศสปกครองอาณานิคมแบบ “ควบรวม”
ในปี 1880 เมื่อมีการจัดตั้ง “รัฐบาลอาณานิคมของฝรั่งเศส” ฝรั่งเศสควบรวมเวียดนาม ลาว เขมร เข้าด้วยกัน เรียกว่า อินโดนจีนฝรั่งเศส เขมรถูกผนวกรวมเข้ากับเวียดนาม สถานะผู้อยู่อาศัยชาวเวียดนามในเขมรได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
ฝรั่งเศสนำชาวเวียดนามไปทำมาค้าขาย ไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ไปสอนหนังสือ ไปเป็นทหาร
เพื่อปกครองกัมพูชา
ชาวเวียดนามจำนวนมากถูกเกณฑ์ให้อพยพมายังแผ่นดินเขมร
ฝรั่งเศสบันทึกว่าชาวเวียดนามราว 200,000 คน กระจายตัวกันไปอยู่ใน จ.เสียมราฐ กำปงชนัง และโพธิสัตว์ รวมถึงจังหวัดทางตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดกับเวียดนาม ได้แก่ เปรยเวง สวายเรียง กำปงจาม
กำปอต กันดาล กระแจะ และ จ.ตาแก้ว
ในช่วงทศวรรษ 1970 เขมรแดง โดย พอล พต ยึดอำนาจจากนายพลลอน นอล แล้วปกครองกัมพูชาอย่างเหี้ยมโหด ชาวเวียดนามเป็น 1 ในเป้าหมายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชาวเวียดนามหลายพันคนถูกสังหารและอีกหลายคนหนีตายกลับไปเวียดนาม สร้างความแค้นเคืองให้กับผู้นำเวียดนามที่หาจังหวะโค่นล้มระบอบพอล พต
ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขมรกับชาวเวียดนามแตกต่างกัน มีเหตุทำร้าย ปล้น ฆ่า “ผู้นำเขมร” ทุกคนในช่วงเวลาต่อมา หาทางที่จะผลักดันคนเวียดนามออกไป
ปี พ.ศ.2497 หลังจากเขมรได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส รัฐบาลเขมรรีบตรากฎหมายสัญชาติ โดยยึดหลักชาตินิยมสุดโต่ง ต้องรู้ภาษาเขมรและต้องสืบค้นเชื้อชาติ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้กีดกันชาวเวียดนามและชาวกัมพูชาเชื้อสายจีนส่วนใหญ่ออกไป
ชาวเวียดนามในเขมร ต้องเผชิญกับกรณีข่มขู่ คุกคาม รีดไถ ด้วยความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นครั้งคราว
พ.ศ.2505 ในระหว่างการประชุมสภาในพนมเปญ นักการเมืองในสภาได้ถกเถียงกันในประเด็นเรื่องสัญชาติของชนกลุ่มน้อยในกัมพูชา และได้มีมติ “ไม่อนุมัติ” การแปลงสัญชาติให้กับชาวเวียดนาม
18 มีนาคม 2513 เมื่อ นายพล ลอน นอล ขึ้นสู่อำนาจโดยการรัฐประหาร รัฐบาลเขมรได้เริ่มรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อแสดงให้เห็นว่า ชาวเวียดนามทั้งหลายในเขมรเป็น “สายลับ” ของพวกเวียดกง
ชาวเวียดนามประมาณ 30,000 คน ถูกจับกุมและสังหารในคุก ในขณะที่อีกนับหมื่นคนหนีตายกลับไปยังเวียดนาม
พ.ศ.2518 ผู้นำเขมรแดงโค่นนายพล ลอน นอล รัฐบาลเขมรแดงขับไล่ชาวเวียดนามเกือบ 3 ใน 4 กลับเวียดนาม ส่วนที่เหลืออีก 20,000 คน จัดว่าเป็นลูกครึ่งเวียดนามและเขมรถูกสังหารโดยระบอบเขมรแดง ชาวเวียดนามราว 80,000 คน ยังคงอยู่ในกัมพูชาแบบอำพรางตัว
นี่เป็นข้อมูลที่สังคมไทย ไม่ค่อยได้ทราบ ว่าผู้นำเขมรทุกคนไม่ชอบชาวเวียดนาม ตั้งใจระแวง สงสัย เขม่น กันมาตลอดนานนับศตวรรษ
เขมรแดงที่สังหารประชาชนเขมรด้วยกันอย่างสุดโหด เหิมเกริม หลงตัวเอง ส่งกำลังทหารไปลอบสังหาร ปล้น ชาวเวียดนามตามแนวชายแดนเวียดนามหลายครั้งเพื่อการแสดงอำนาจ
(แถมเป็นข้อมูลที่น่าเจ็บแค้นนะครับ… 28 มกราคม พ.ศ.2520 ราวเที่ยงคืน เขมรแดงส่งกำลังเข้ามาโจมตี สังหารหมู่ชาวบ้านคนไทยใน 3 พื้นที่ คือ หมู่บ้านน้อยป่าไร่ บ้านหนองดอ และบ้านกกค้อ ผู้หญิง เด็กไทย ถูกสังหาร เพื่อสังเวย เย้ยอวดแสนยานุภาพของทหารเขมรแดง คนไทยเสียชีวิตรวม 30 ศพ ผู้เขียนเคยเขียนลงมติชน 1 มีนาคม 2564…)
ผู้นำเวียดนามเอง ก็ตระหนักถึงการก่อกวนตามแนวชายแดน ข่มเหง รังแกชาวเวียดนาม
การสู้รบระหว่าง 2 ประเทศดำเนินต่อเนื่อง ขณะที่จีนพยายามไกล่เกลี่ย เพื่อการเจรจาสันติภาพ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถประนีประนอมกันได้
ปลายปี พ.ศ.2521 กองทัพเวียดนามราว 1.5 แสนนาย ที่เคียดแค้นรัฐบาลเขมร ยาตราทัพรุกเข้าสู่กรุงพนมเปญ พอล พต ที่รังเกียจ เป็นอริกับชาวเวียดนามในเขมร ถือโอกาสสั่งทหารเขมรแดงให้สังหารชาวเวียดนามอย่างโหดเหี้ยม
กองทัพเวียดนามกวาดล้าง บุกตะลุยแผ่นดินเขมร รบกันราว 2 สัปดาห์ เวียดนามยึดพนมเปญได้ ขับไล่ พอล พต มาอยู่แถวชายแดนไทย
เวียดนาม ก่อตั้งระบอบการปกครองใหม่ที่เรียกว่าสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (PRK) และมีที่ปรึกษาชาวเวียดนามได้รับการแต่งตั้งในรัฐบาลชุดใหม่
(คนเขมรเกลียดเวียดนามมาก เรียกเวียดนามว่า ญวน)
นโยบาย “นอนสามัคคี” ของเวียดนาม
พ.ศ.2521 ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาจาก ร.ร.จปร. เป็นร้อยตรี ใหม่เอี่ยม ถูกส่งไปเป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก ป้องกันชายแดนในอำเภอวัฒนานคร บริเวณเขาตาง็อก ที่ยังเป็นป่ารกทึบ มีเพียงวิทยุสื่อสารของทหาร รับฟังข่าวสารทางวิทยุได้เฉพาะยี่ห้อ ธานินทร์
ใช้วิทยุทหารติดต่อไปหน่วยเหนือ…ถ้ามีใครมาเยี่ยม ขอให้นำหนังสือพิมพ์เก่าๆ ช่วยนำหนังสืออ่านเล่นมาให้ทหารราว 50 นาย ได้อ่าน เพราะอยากจะรู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร
ทุกครั้งที่มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงนั่ง ฮ. มาเยี่ยมถึงฐานปฏิบัติการในป่า ก็มักจะมีหนังสือพิมพ์เก่าๆ ติดมือมาฝาก จึงได้อ่านหนังสือพิมพ์เรื่อง เวียดนามยึดประเทศเขมร และเรื่องที่สุดสยิว คือ เรื่องนโยบายการ “นอนสามัคคี” ที่กองทัพเวียดนามเอาจริงเอาจัง
กองทัพเวียดนามที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ต้องการ “กลืนชาติ” ชาวเขมร รวมถึงชาวลาว ในเวลานั้นกองทัพเวียดนามชนะสงครามในลาว ลาวเป็นคอมมิวนิสต์ ผู้นำของเวียดนามต้องการ “กลืนชาติ” โดยจะให้ผู้หญิงเขมร ผู้หญิงลาว มาหลับนอนกับทหารญวน เพื่อขยายเชื้อชาติญวนให้มากที่สุดในอินโดจีน บางครั้งก็เรียกว่า “โครงการนอนส่องแสง”
นี่เป็นยุทธศาสตร์ของผู้ใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งค่อนข้างจะแพร่กระจาย ขยายตัวในลาวได้มากกว่าในเขมร (เพราะคนเขมรเกลียดญวนฝังใจเป็นร้อยปี)
ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง เพื่อเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และไม่มีข้อมูลยืนยัน
ผลจากการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อกดดันเวียดนามให้ถอนกำลังออกจากกัมพูชา กันยายน พ.ศ.2532 เวียดนาม จึงถอนทหารออกไปจากเขมร หลังจากปกครองเขมรราว 11 ปี ทำให้ชาวเวียดนามในเขมรมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง จากการกดขี่ รังแกจากเขมร
ขอเปลี่ยนฉากทัศน์ไปที่ ชาวเวียดนาม ที่ขอใช้ชีวิตต่อไปในเขมร
ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับ โตนเลสาบ (Tonle Sap) หรือ “ทะเลสาบเขมร” เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในอุษาคเนย์ กว้างถึง 12,876 ตร.กม. เป็นส่วนหนึ่งของระบบแม่น้ำโขง เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก
ประมาณ 34% ของน้ำในทะเลสาบโตนเลสาบมาจากแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลสาบ ประมาณ 53.5% มาจากแม่น้ำโขง และ 12.5% มาจากฝน ช่วงความยาวสูงสุด 250 กม. ช่วงความกว้างสูงสุด ราว 100 กม. แสนจะอุดมสมบูรณ์ด้วยปลากว่า 149 ชนิด
เขตทะเลสาบโตนเลสาบเป็นพื้นที่การประมงและการผลิตทางการเกษตรที่สำคัญของกัมพูชามาโดยตลอด มีประชากรประมาณ 1.2 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทะเลสาบโตนเลสาบ (บ้านบนแพลอยน้ำ) ทำการประมง ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60% ของปริมาณการจับปลาน้ำจืดรายปีของกัมพูชา
ชาวเวียดนามจำนวนมากไปตั้งถิ่นฐานใน “โตนเลสาบ” เพราะไม่สามารถจับจองที่ดินได้ มีสถานะเป็นคนไร้รัฐ ชาวเวียดนามหลบการกวาดล้าง รังแก มาอยู่บนแพนานนับศตวรรษ โตนเลสาบเปรียบเสมือนบ้าน เด็กๆ เติบโตมากับผืนน้ำและเรียนหนังสือร่วมกับเด็กกัมพูชา เลี้ยงชีพด้วยการจับปลา ทุกเดือนกันยายน ระดับน้ำในทะเลสาบโตนเลสาบจะสูงขึ้นมากกว่า 4 เท่าของความลึกเดิม
เมื่อปี พ.ศ.2559 ฮุน เซน สั่งกวาดจับ ส่งตัวกลับเวียดนามหลายร้อยคน
ความสัมพันธ์เวียดนาม-กัมพูชา มีพัฒนาการด้านบวก ด้านลบ มีปัญหาการเมืองในสภามาหมางใจกันเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะเรื่องพรมแดน
กลางปี พ.ศ.2567 ฮุน เซน ถูกกลุ่มต่อต้านออกข่าวว่า เขาได้ยก 4 จังหวัดทางภาคตะวันออกให้กับเวียดนามไปแล้ว นั่นคือ รัตนคีรี, มณฑลคีรี, กระแจะ และสตึงเตรง
จังหวัดพวกนี้เป็นพื้นที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และยังขาดการพัฒนา และขาดการตั้งถิ่นฐานของประชากร เป็นป่าดง มีแม่น้ำโขงส่วนที่ไหลเชี่ยวและเต็มไปด้วยเกาะแก่ง และมีประชากรเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในป่าและภูเขา
ข่าวลือ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยหมู่พวกที่ต่อต้านรัฐบาลเพราะเห็นว่าตระกูลฮุนกุมอำนาจมานาน และมักจะหากินกับบ้านเมืองตามใจชอบ พอมีข่าวนี้มาจึงปั่นกันใหญ่
รัฐบาลก็ต้องออกมาแก้ข่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะทั้ง 4 จังหวัดเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการพัฒนาร่วมกัมพูชา-ลาว-เวียดนาม ที่เรียกว่า Cambodia-Laos-Vietnam Development Triangle Area (CLV-DTA)
ฮุน เซน ในฐานะประธานวุฒิสภาควันออกหู กับการปั่นข่าวเสียแผ่นดิน ถึงกับเรียกร้องให้มีการลงโทษอย่างเข้มงวดกับผู้บิดเบือนข่าวเกี่ยวกับ CLV-DTA พร้อมกับเผยว่าตอนนี้มีการจับตัวคนปล่อยข่าวไปแล้ว 3 คน
แถมเป็นข้อมูลสำคัญเรื่องเขตแดนครับ…ชายแดนกัมพูชา-เวียดนามมีความยาว 1,158 กม. ทอดยาวจากจุด 3 ประเทศกับลาวทางเหนือไปจนถึงอ่าวไทยทางตอนใต้
ในปี 2526 ทั้ง 2 ฝ่ายให้คำมั่นสัญญาว่าจะยอมรับพรมแดนตามสภาพที่เป็นอยู่เมื่อได้รับเอกราช การหารือเรื่องเขตแดนดำเนินต่อไปจนถึง 2533 สนธิสัญญาได้รับการลงนามในปี 2548 ตามด้วยการแบ่งเขตพื้นที่จริงซึ่งกำหนดจะเสร็จสิ้นในปี 2555 หากแต่ยังไม่แล้วเสร็จ
ปลายปี พ.ศ.2566 รัฐบาลกัมพูชาและเวียดนามได้ยืนยันความร่วมมือทวิภาคี โดยเฉพาะในภาคการทหาร และเปลี่ยนพรมแดนร่วมกันให้เป็นพรมแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา ทั้ง 2 ประเทศยังได้ให้คำมั่นที่จะสรุปการปักปันเขตแดนร่วมที่เหลืออีกร้อยละ 16 ของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะร้อยละ 6 ที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่