จากกวนอูถึงเผ่ากาซา ยุทธศาสตร์อิสราเอลแบบแมนจูในสงครามกับฮามาส

ในโลกของสงครามซึ่งมนุษย์มักอ้างว่าตนเองมีเหตุผลมากกว่าสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย บางทีก็อดนึกไม่ได้ว่าเราเองต่างหากที่ฉลาดน้อยที่สุดในจักรวาล เพราะดันชอบสู้รบกันโดยไม่มีวันสิ้นสุด เหมือนกิ้งก่าที่ไล่กินหางตัวเอง ฉนวนกาซาก็เช่นกัน เป็นดินแดนที่พระเจ้าอาจทรงลืมไว้ข้างหลังในวันที่ทรงสร้างโลก และปล่อยให้มนุษย์สานต่อกันด้วยความเกลียดชังจนกลายเป็นสนามทดสอบยุทธศาสตร์ทุกแขนงและในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากอิฐและเสียงระเบิดแห่งนี้เอง ที่อิสราเอลซึ่งเป็นรัฐชาติที่มีจิตวิญญาณของแมคเคียเวลเลียนสูงยิ่งกำลังทดลองกลยุทธ์ใหม่ (หรือจะเรียกว่าเก่าก็ได้) ซึ่งคล้ายคลึงกับสิ่งที่แมนจูเคยกระทำกับชาวจีนฮั่นเมื่อ 300 ปีก่อน เพื่อเปลี่ยนอุดมการณ์แบบฮามาสที่แข็งกร้าวในกาซา ให้กลายเป็นความภักดีต่อกลุ่มย่อยทางชาติพันธุ์หรือเผ่า เหมือนกับที่เคยเปลี่ยนจาก “ฮั่นนิยม” มาเป็น “กวนอูนิยม” ในยุคราชวงศ์ชิง

หากจะย้อนรอยไปสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากชนชาติจีนฮั่น แต่เป็นพวกแมนจูจากแดนเหนือ ผู้พูดภาษาต่างออกไป ใส่หมวกทรงต่างจากฮั่น และตัดผมแหว่งเป็นที่ดูถูกจากพวกฮั่นโบราณ แม้จะครองแผ่นดินได้ แต่การจะครองหัวใจนั้นยากกว่า พวกแมนจูจึงใช้วิธีไม่ตรงเสียเลย พวกเขาไม่ได้พยายามกลืนชาวฮั่นให้เป็นแมนจู แต่กลับกลายเป็น “การกลืนศัตรูด้วยศิลปะ” โดยการปลุกระดมจารีตเก่าของจีนให้กลายเป็นเครื่องมือของตน ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ การอุ้มชูกวนอูให้เป็นเทพเจ้าแห่งความจงรักภักดี โดยตัดขาดจากบริบทฮั่นนิยมอันเป็นอุดมการณ์ชาตินิยมเดิม และยกระดับกวนอูจากน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ ซึ่งยอมตายโดยไม่ยอมแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายศัตรู ให้กลายเป็นเทพที่ควรสักการะ โดยเน้นคุณธรรมส่วนบุคคลเหนือกว่าชาติพันธุ์

แปลไทยให้ชัดๆ ได้ว่า พวกแมนจูใช้กวนอูมาลบงักฮุยนั่นเองโดยการลบภาพชาตินิยมแบบ “ซ่ง” แล้วแทนที่ด้วย “ซานกว๋อ” หรือสามก๊กที่ดูแฟนตาซีกว่า และมีความเป็นบุคคลนิยมสูงกว่า เหมาะกับการปกครองแบบเบ็ดเสร็จที่ไม่อยากให้ราษฎรคิดเอง

ตัดภาพมาที่ฉนวนกาซา ซึ่งมีขนาดแค่ปลายเล็บเมื่อเทียบกับมณฑลซานตงของจีน แต่กลับหนาแน่นไปด้วยความรุนแรงและอุดมการณ์ในระดับที่สามารถเผาไหม้โลกได้ทั้งใบ ฮามาสในที่นี้ก็คือ “งักฮุยแห่งกาซา” ผู้ฝังหัวแนวคิดว่าการต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อปาเลสไตน์ที่เป็นหนึ่งเดียวคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอิสราเอลก็คือมารร้ายจากเทลอาวีฟผู้มาทำลายชาติพันธุ์อาหรับ

แต่หากท่านคิดว่าอิสราเอลจะปราบฮามาสด้วยการส่งรถถังหรือโดรนเท่านั้น ท่านคิดผิดแล้วครับ เพราะนี่คือรัฐที่มีสายลับโมสาดเป็นหมากล้อมด่านหน้า และมีการวางกลยุทธ์ลึกระดับที่ไม่ต่างจากขงเบ้งปราบเบ้งเฮ็ก ส่วนในยุคหลังสงครามฮามาส-อิสราเอลเมื่อ พ.ศ.2566 เป็นต้นมา รัฐยิวเริ่มสังเกตว่า การสู้กับพวกฮามาสเป็นการตีลม เพราะต่อให้ปราบได้เป็นร้อยครั้ง หากแนวคิดชาตินิยมยังฝังลึกอยู่ในหัวชาวกาซา ก็จะยังมีฮามาสเวอร์ชั่นใหม่เกิดขึ้นเสมอ

ADVERTISMENT

ดังนั้น แทนที่จะพยายามทำลายฮามาสเฉยๆ อิสราเอลจึงหันมาใช้กลยุทธ์คล้ายแมนจู คือการ “เลิกอุดมการณ์รวมหมู่ แล้วปลุกปัจเจกบุคคลขึ้นแทน” กล่าวคือ อิสราเอลพยายามส่งเสริมให้กลุ่มต่างๆ ในกาซา เช่น ตระกูลสำคัญอย่างตระกูลดูกมุช ตระกูลซัมฮาดานา หรือตระกูลอัชชีค ต่างแยกตัวทางอำนาจและเศรษฐกิจจากส่วนกลางของฮามาส โดยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและโลจิสติกส์โดยตรงผ่านเครือข่ายท้องถิ่น แทนที่จะผ่านรัฐบาลเงาของฮามาส

เป้าหมายคือทำให้ชาวกาซามองว่า “ตระกูลฉัน” สำคัญกว่า “ปาเลสไตน์ทั้งประเทศ” และ “หัวหน้าเผ่าฉันมีบุญคุณกว่าผู้นำฮามาสที่อยู่ในกาตาร์” นั่นเอง

นั่นแหละครับท่านผู้อ่านที่เคารพ “กวนอูแห่งกาซา” กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ใช่ในรูปแบบเทพแห่งสงคราม แต่เป็น “ผู้นำเผ่าท้องถิ่น” ผู้แจกข้าวสาร แจกไฟฟ้า และแจกซิมโทรศัพท์

ยุทธศาสตร์นี้ได้ผลหรือไม่

คำตอบคือ “ได้ผลพอประมาณ” แต่ไม่ได้หมายความว่ากาซาจะกลายเป็นเขตอิสระเสรีนิยมภายในพริบตา เพราะฮามาสนั้นก็ไม่ใช่พวกบ้องตื้น พวกเขาเองก็รู้ว่ารากฐานของอำนาจอยู่ที่ความเป็นเอกภาพทางอุดมการณ์ จึงพยายามสร้างการรวมศูนย์ใหม่ผ่านการปราบปรามผู้นำเผ่าที่อิสราเอลเอื้อเฟื้อ หรือแม้แต่ส่งลูกหลานไปเรียนมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรเพื่อล้างสมองกลับมาเป็นนักเทศน์ต่อต้านอิทธิพลจากไซออนนิสต์ ก็ตาม

ในขณะที่อิสราเอลเองก็พบว่าการเล่นกับไฟเผ่าอาจย้อนศรได้เช่นกัน เพราะกลุ่มชนเผ่าหลายกลุ่มที่ถูกยกขึ้นมากลายเป็นขุนศึกท้องถิ่นจอมพยศ แปรพักตร์ง่ายไม่ต่างจากเจ้ายุคฟิวดัล และยิ่งสร้างความวุ่นวายหากควบคุมไม่อยู่เพราะสิ่งที่แมนจูเข้าใจแต่หลายรัฐในศตวรรษที่ 21 กลับหลงลืม คือ การสร้าง “เทพที่ภักดีต่อบุคคล” แทน “เทพที่ภักดีต่อชาติ” เป็นวิธีที่ได้ผลในสังคมที่ยังมีความเป็นเผ่าสูง แต่ในโลกอาหรับ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจาก “เผ่า” ไปสู่ “ชาติ” กลับทำให้ยุทธศาสตร์นี้เป็นดาบสองคม เพราะหากความภักดีต่อบุคคลล้นเกิน มันจะนำไปสู่การแยกตัว เช่นเดียวกับที่ลิเบียแตกออกหลังกัดดาฟีตาย หรือซีเรียหลังบาชาร์ต้องลี้ภัยไปอยู่รัสเซียนั่นเอง

ในที่สุดแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่า อิสราเอลกำลังเป็นเหมือนแมนจูยุคใหม่ในดินแดนที่อารยธรรมเก่าแก่พอๆ กับจีน กำลังเล่นเกมความคิดด้วยวิธีเก่าแก่ที่สุดในโลก คือ เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นเพื่อน ด้วยการเปลี่ยนแนวคิดของเขาเสียก่อน จะสำเร็จหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ที่แน่ๆ คือ สนามประลองในกาซานี้ ยังไม่ถึงจุดจบของการทดลองแนวคิดเหล่านี้ แต่ผู้เสียหายที่สุดคือชาวบ้านในกาซาที่กลายเป็นหนูทดลองภาคบังคับโดยไม่ได้ขออนุญาตเลยสักคำ