ที่มา | คอลัมน์ : จอมคนจอมโฉด |
---|---|
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
ห้วง เปลี่ยนผ่าน
เส้นทางการเมือง เศรษฐกิจ
ความคิด ‘ปักธง’
ในการพิเคราะห์ของ “อี้จงเทียน” พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ต้องการกระบวนการ ไม่สามารถเปลี่ยนชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลสูงศักดิ์เป็นชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลสามัญในทันที
จำเป็นต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน และชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลปัญญาชนนี้เองที่สามารถเข้ามาทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านได้
ความแตกต่างของตระกูลปัญญาชนกับตระกูลสูงศักดิ์อยู่ตรงไหน
ตระกูลสูงศักดิ์เป็นตระกูลสูงศักดิ์ได้ต้องอาศัยสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ตระกูลปัญญาชนเป็นตระกูลปัญญาชนได้ต้องอาศัยเรียนหนังสือเป็นขุนนาง
แล้วความแตกต่างระหว่างตระกูลปัญญาชนกับตระกูลสามัญคืออะไร
ตระกูลสามัญเป็นขุนนางก็ต้องเรียนหนังสือสอบ ตระกูลปัญญาชนเป็นขุนนางหลักใหญ่คือดูชาติกำเนิดและครอบครัว ดังนั้น ตระกูลปัญญาชนมีคุณสมบัติครึ่งหนึ่งเหมือนตระกูลสูงศักดิ์ อีกครึ่งหนึ่งเหมือนตระกูลสามัญ เข้ามาเป็นผู้เปลี่ยนผ่านพอดิบพอดี
ยุคเว่ยจิ้นและยุคเหนือใต้ก็เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านแบบนี้นี่เอง
ในฐานะช่วงเปลี่ยนผ่าน ระบอบการเมืองในยุคเว่ยจิ้นและยุคเหนือใต้ คือ “ระบอบขุนเรือน” (เหมินฝาจื้อตู้)
และก็เรียกว่าระบอบ “ตระกูลปัญญาชน”
ดังนั้น “ระบอบขุนเรือน” ก็คือคนที่อยากจะเป็นขุนนางจะแค่ร่ำเรียนมาอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องดูชื่อเสียง เกียรติยศของตระกูล ดูระดับว่าสูงส่งหรือต่ำต้อย ดูเกียรติประวัติ ชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูล
เรียกว่า “เหมินวั่ง” แปลว่า เกียรติยศของประตูเรือน ระดับสูงส่งหรือต่ำต้อยของตระกูลเรียก “เหมินตี้” แปลว่าระดับของประตูเรือน เกียรติประวัติของตระกูลเรียก “ฝาเย่ว์”
ในอดีต ตระกูลของคนที่เป็นขุนน้ำขุนนางที่ด้านนอกของประตูหลักล้วนต้องมีเสาตั้งอยู่ 2 ต้นเอาไว้บันทึกเกียรติประวัติแห่งตระกูลของพวกเขา
การอวดอ้างความสำเร็จ (ฝา) อยู่ทางซ้าย
การอวดอ้างประสบการณ์ (เย่ว์) อยู่ทางขวา
ฝากับเย่ว์ล้วนอยู่ตามประตู “ประตู” (เหมิน) ในที่นี้ก็คือ “ประตูเรือน” ซึ่งก็มีความหมายว่าตระกูล สำหรับชื่อเสียง ระดับเกียรติประวัติของตระกูลนั้นเรียกรวมกันว่า
“เหมินฝา”
นัย คือ ความสำเร็จของตระกูล เรือน
ชื่อเสียง เกียรติยศ มีสูงต่ำ ที่สูงส่งเรียกว่า “ตระกูลทรงเกียรติ” ระดับมีสูงต่ำ ระดับสูงเรียกว่า “(ประตู) เรือนสูง” (เกาเหมิน) ตระกูลหนึ่งสามารถกลายเป็นตระกูลทรงเกียรติ เรือนสูงได้มิได้เป็นเพราะอื่นใด
เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาเรียนหนังสือเป็นขุนนาง หรือขนาดเป็นขุนนางติดต่อกันหลายรุ่น
เป็นขุนนางถึงมีเกียรติประวัติ มีเกียรติประวัติถึงมีชื่อเสียงเกียรติยศ มีระดับ
ดังนั้น “เหมินวั่ง” “เหมินตี้” “ฝาเย่ว์” จึงเป็น 3 สิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
นี่ถึงรวมคำมาเรียกว่า “เหมินฝา” หรือขอแปลในที่นี้ว่า “ขุนเรือน” (ซึ่งแปลว่าบ้านหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่)
เห็นได้ชัดว่าขุนเรือนก็คือตระกูลแห่งผู้มีเกียรติยศสูงส่ง เป็นขุนนางที่สืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น
ในยุคนั้น ระบอบขุนเรือนก็คือระบอบของการพิทักษ์ผลประโยชน์ทางการเมืองของชนชั้นนี้ สิ่งที่เป็นมาตรการที่จับต้องได้ของมันก็คือ “กฎหมายขุนนางเก้าระดับ” หรือ “ระบบคัดเลือกเก้าระดับ”
ระบบประเภทนี้ย่อมเป็นระบบที่ตระกูลปัญญาชนชื่นชอบแน่นอน โดยเฉพาะเป็นที่ปรารถนาของตระกูลปัญญาชนระดับกลางและบนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าพวกเขาสามารถผูกขาดสิทธิในการเป็นขุนนาง
และอย่างไรเสียระบบนี้ก็ต้องถูกใช้จริงเพราะว่าในปลายยุคฮั่นตะวันออก ตระกูลปัญญาชนก็ได้เริ่มผูกขาดสิทธิการเป็นขุนนางแล้ว
ก็เหมือนที่หนังสือ “ประวัติศาสตร์จีน” ของคุณฟ่านเหวินหลันบอกไว้ว่า
“กฎหมายขุนนางเก้าระดับ” ก็แค่ “ข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างหนึ่งที่จะต้องเป็นจริงขึ้นในไม่ช้า”
แต่ว่าการผูกขาดสิทธิในการเป็นขุนนางก็เท่ากับทำให้ตำแหน่งขุนนางที่ไม่สามารถสืบต่อทายาทได้ เป็นการสถาปนา “ระบบสืบทายาทที่ไม่ได้สืบทายาท” หรือพูดว่าเป็นระบบกึ่งสืบทายาทของคณะขุนนาง
เห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของระบอบจักรวรรดิ ระบอบจักรวรรดิ คือ ต้องการให้ตำแหน่งขุนนางสืบต่อทายาทไม่ได้
ด้วยเหตุผลนี้ ระบอบขุนเรือนจึงจำเป็นต้องถูกนำออกไปจากเวทีประวัติศาสตร์ให้ทางกับระบบการสอบคัดเลือกของขุนนางที่ไม่สามารถสืบทายาทโดยสิ้นเชิง ชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลปัญญาชนก็ต้องลอยลงจากเวทีเพื่อให้ทางแก่ชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลสามัญที่ไม่อาจผูกขาดสิทธิการเป็นขุนนาง
และก็เพราะเช่นนี้นี่เอง เราถึงพูดว่ายุคเว่ยจิ้นและเหนือใต้เป็น “ดนตรีสลับฉาก” ชุดใหญ่ของประวัติศาสตร์
ที่น่าสนใจก็คือ ก่อน “ดนตรีสลับฉากชุดใหญ่” นี้ ก็ถูกแทรกด้วย “ดนตรีสลับฉากชุดย่อย” ขึ้นมา
นั่นก็คือ ยุคสามก๊ก
ความเป็นจริงก็คือ ตระกูลปัญญาชนในปลายยุคฮั่นตะวันออกได้ผูกขาดเส้นทางการรับราชการ คุมกระแสเสียงมหาชน
กลายเป็นผู้มีอิทธิพล ผูกขาดเส้นทางการรับราชการ
ก็เท่ากับว่าได้ครองโครงสร้างระดับบน ควบคุมกระแสเสียงมหาชน ก็คือ กุมคตินิยมเอาไว้
กลายเป็นผู้มีอิทธิพล ก็คือยึดพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
นี่ก็ใกล้เคียงกับการยึดบ้านเมืองไว้ได้ทั้งหมด
ถ้าหากพัฒนาต่อไปตามแนวทางแบบนี้ ชนชั้นเจ้าที่ดินตระกูลปัญญาชนก็จะกลายเป็นชั้นปกครองของจักรวรรดิ แล้วกระบวนการของประวัติศาสตร์จะถูกตีรวนอย่างไร เหตุใดลูกคิดรางแก้วของตระกูลปัญญาชนจึงถูกปัดทิ้งไปได้
คำตอบก็คือ เพราะเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งที่ “ขุนเรือน” ต้องมาเผชิญกับ “ขุนศึก”
ขุนศึกก็คือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่มีกองกำลังติดอาวุธอันเป็นเอกเทศในครอบครองของตน
ผู้มีอิทธิพลแบบนี้ที่จริงมีมาตั้งนานแล้ว
นั่นคือ พวกผู้มีอำนาจในท้องถิ่นที่ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกยินยอมพร้อมใจบ่มเพาะเอาไว้ปลายยุคฮั่นตะวันออก
โดยเฉพาะหลังเกิดกบฏผ้าเหลืองขึ้น ความสามารถในการควบคุมท้องถิ่นของรัฐบาลกลางนับวันยิ่งอ่อนแอ อิทธิพลของผู้มีอำนาจในท้องถิ่นนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
พวกนี้บางคนตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในถิ่น เรียก “ผู้ทรงอิทธิพลเรืองอำนาจ” (เหาป้า)
บ้างก็จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธของตนเองเรียก “นายพลเรืองอำนาจ” (เหาช่วย)
บ้างก็ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่ราชสำนักแต่งตั้งมาตั้งตนแลแบ่งแยกดินแดนกลายเป็น “เจ้านคร” (จูโหว)
แต่เพราะล้วนมีกองกำลังติดอาวุธ ดังนั้น จึงเป็น “ขุนศึก”
เพียงแต่ก่อนหน้าฮั่นหลิงสวรรคต พวกเขายังไม่ได้มีอิทธิพลใหญ่โตอะไรนัก
จึงมีความจำเป็นต้องสนใจต่อการก่อรูปแห่งอำนาจของโฮจิ๋นในราชสำนัก จึงมีความจำเป็นต้องมีคำถามไปยังรากฐานแห่งการจัดตั้ง “กำลัง” เพื่อปราบกบฏผ้าเหลือง
นั่นคือ ที่มาแห่ง “ขุนศึก” นั่นคือ ที่มาแห่งอำนาจรัฐใน “ท้องถิ่น”