ที่มา | คอลัมน์ - ไทยพบพม่า |
---|---|
ผู้เขียน | ลลิตา หาญวงษ์ |
ออง ซาน ซูจี – ออง ซาน ซูจี หรือที่คนพม่าเรียกกันติดปากว่า “อะเม ซุ” (แม่ซุ) เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ในระหว่างสงครามโลก เธอลืมตาดูโลกเพียงไม่กี่เดือนก่อนญี่ปุ่นจะประกาศแพ้สงคราม เป็นช่วงที่นายพล อองซาน บิดาของเธอเปลี่ยนท่าทีจากการสนับสนุนกองทัพญี่ปุ่น มาเป็นการติดต่อกับอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตรแบบลับๆ ภายใต้องค์กร สันนิบาตเสรีภาพประชาชนต่อต้านฟาสซิสม์ หรือ AFPFL มุ่งหน้าสู่การเรียกร้องเอกราชของพม่าแบบสมบูรณ์
เมื่อออง ซาน ซูจีอายุได้เพียง 3 ขวบ นายพลอองซาน วีรบุรุษแห่งชาติของพม่า ก็ถูกลอบสังหารพร้อมกับรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ของพม่าอีก 6 คน ทิ้งออง ซาน ซูจีและพี่น้องอีก 2 คนไว้กับด่อขิ่นจีผู้เป็นแม่ เมื่ออูนุขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังพม่าได้รับเอกราช รัฐบาลแต่งตั้งให้ด่อขิ่นจีเป็นเอกอัครราชทูตพม่าประจำอินเดียและเนปาล ออง ซาน ซูจีจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการทูตของพม่า ทั้งพื้นฐานครอบครัวและการศึกษาทั้งในอินเดียและอังกฤษ ตลอดจนนิสัยรักการอ่าน ทำให้เธอมีพื้นฐานทั้งด้านภาษาและวรรณคดีอังกฤษดีเยี่ยม เมื่อถึงเวลาไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาที่เซนต์ฮิวจ์คอลเลจ แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และต่อด้วยวิทยาลัยบูรพศึกษาและแอฟริกาศึกษา (SOAS) แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน
ในช่วงที่เธอใช้ชีวิตในลอนดอนเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอยู่นั้น เธอได้ร่ำเรียนกับปรมาจารย์ด้านภาษาและวรรณคดีพม่าที่สำคัญที่สุด 2 คน ได้แก่ จอห์น โอเคลล์ (John Okell) และอันนา อัลลอตต์ (Anna Allott) ในระหว่างนั้น เริ่มมีความวุ่นวายทางการเมืองในพม่าแล้ว เมื่อนักศึกษาและประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงรัฐบาลเนวิน และถูกปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารร่วมกันตั้งพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า หรือ NLD ขึ้น และเชิญให้ออง ซาน ซูจีเข้ามาเป็นหนึ่งในแกนนำพรรค
ทันทีที่เธอปรากฏตัวในที่ชุมนุมประท้วงบนลานพระเจดีย์ชเวดากอง ฝูงชนเรือนแสนโห่ร้องกึกก้อง ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นที่ได้ยลโฉมบุตรสาวคนเดียวของนายพลอองซาน ด้วยความที่เธอมีความเป็นนักอักษรศาสตร์เต็มตัว ภาษาและท่าทางที่เธอใช้เมื่อขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ต่อฝูงชนในวันนั้น ปลุกใจคนพม่าทั้งประเทศให้ลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการ และกดดันจนเนวินลาออกจากตำแหน่งได้
เมื่อมีการเลือกตั้งขึ้นในปี 1990 พรรค NLD ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายถึงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะนี่คือการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่เมื่อผลเลือกตั้งออกมา กองทัพพม่าไม่ยอมรับ ประกาศล้มกระดานให้ผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะทั้งหมด และปกครองประเทศยาวนานอีกราว 20 ปี ก่อนจะมีการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังในทศวรรษ 2010 ออง ซาน ซูจีใช้เวลาส่วนใหญ่ระหว่าง 1990-2010 อยู่ภายใต้การควบคุมตัวในบ้านพักของเธอริมทะเลสาบอินยา ภาพลักษณ์ของเธอคือวีรสตรีเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติที่แท้ ไม่มีนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในพม่าคนใดที่จะได้รับการยกย่องจากสังคมพม่าและสังคมโลกเท่าเธออีกแล้ว
พม่าเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2000 แต่สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงเริ่มพัดโบกอย่างจริงจังเมื่อมีการปล่อยตัวออง ซาน ซูจีในปี 2010 ต่อมา พรรค NLD ก็ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ในช่วง 2015-2021 ที่พรรค NLD เข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะปัญหาการกวาดล้างชาวโรฮีนจา ที่มีถิ่นพำนักในรัฐยะไข่ ผู้ที่เปิดฉากสังหารหมู่ชาวโรฮีนจามุสลิมคือกองทัพพม่า แต่รัฐบาล NLD ก็ต้องรับบทบาทนำเพื่อชี้แจงกับนานาประเทศ คำถามที่เกิดขึ้นคือรัฐบาล NLD หรือตัวออง ซาน ซูจีเอง ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เฉพาะกับพม่าแต่เป็น “ไอคอน” ระดับโลก ปล่อยให้สถานการณ์บานปลายจนมีชาวโรฮีนจาเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และอีกนับล้านคนต้องอพยพหนีตายไปบังกลาเทศได้อย่างไร
ในระหว่างนี้ ออง ซาน ซูจีไม่ได้ออกมาปกป้องชาวโรฮีนจาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำยังมีท่าทีสนับสนุนกองทัพของพม่า ในประเด็นนี้ ผู้เขียนอยากจะให้เรามองออง ซาน ซูจีในฐานะผู้หญิง ชาวพม่า ที่นับถือศาสนาพุทธ กระแสของสังคมในพม่าขณะนั้นเป็นไปในเชิงต่อต้านชาวโรฮีนจา โดยอ้างว่าชาวโรฮีนจาไม่ได้มีถิ่นพำนักในรัฐยะไข่มาแต่เดิม หากแต่เป็นคนที่อพยพเข้ามาใหม่ ในทางประวัติศาสตร์ มีข้อถกเถียงมากมายที่กล่าวถึงชาวโรฮีนจา และบ่งชี้ว่าชาวโรฮีนจาคือกลุ่มคนที่อาศัยในเมียนมานับร้อยๆ ปีแล้ว
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของออง ซาน ซูจีในสายตาของชาวโลก คือการปล่อยให้กองทัพพม่ากระทำกับชาวโรฮีนจาด้วยความรุนแรง เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่สำหรับเธอและพรรค NLD ความอยู่รอดของรัฐบาลพลเรือนย่อมเป็นสิ่งสำคัญ หลายคนมองว่าเธอสมยอมกับกองทัพมากจนเกินไป และหลีกเลี่ยงไม่วิจารณ์กองทัพโดยตรง แม้กองทัพจะเป็นคู่ขัดแย้งกับพรรค NLD และเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่ามาตลอด ผู้เขียนมองว่าทั้งออง ซาน ซูจีและคนในพรรค NLD เองล้วนต้องการจำกัดอำนาจของกองทัพ โดยเริ่มจากการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นไปได้ยาก
แหล่งข่าวของผู้เขียนรายงานตรงกันว่าระหว่างที่ออง ซาน ซูจีดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐ เธอแทบไม่เคยสนทนากับพลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย ที่เป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพ และเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของฝ่ายต่อต้านการปฏิรูปทางการเมืองเลย การขาดการสื่อสารนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือที่เราอาจเรียกเป็นภาษาบ้านๆ ว่า “ความอิจฉา” และนี่อาจเป็นสาเหตุที่นำไปสู่รัฐประหารในปี 2021 ได้
ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าออง ซาน ซูจียังเป็นที่เคารพรักของคนพม่าส่วนใหญ่ ความหวังและความฝันของคนหนุ่มสาวที่กำลังต่อสู่เพื่อต่อต้านกองทัพของพม่าในขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่ออิสรภาพของพม่า และเพื่อปลดปล่อยนักโทษการเมือง ออง ซาน ซูจีคือสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยนี้ด้วยเช่นกัน