ผู้เขียน | มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด |
---|
คลิปเสียงกับฟางเส้นสุดท้ายบนอูฐเพื่อไทย
ใครจะไปคิดว่าคลิปเสียงเพียงคลิปเดียวจะสามารถสั่นสะเทือนประเทศไทยได้ถึงเพียงนี้ แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ยังแข็งใจขี่งูเห่าโต้คลื่นลมต่อไป มิหนำซ้ำยังปรับคณะรัฐมนตรีโดยกระชับอำนาจของพรรคเพื่อไทยให้มากขึ้น และยังเพิ่มอำนาจรัฐมนตรีให้นายกฯ ซึ่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญแทนที่จะปรับคณะรัฐมนตรีให้มีความเข้มแข็งโดยเชิญชวนคนนอกผู้มากฝีมือให้มาช่วยแก้ไขปัญหาวงจรอุบาทว์ของประเทศที่คาราคาซังอยู่ ทำให้ชวนคิดว่าประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปทางเส้นทางแห่งรัฐล้มเหลว (failed state) เสียแล้ว
คำว่ารัฐล้มเหลวปลิวว่อนออนไลน์และในโซเชียลมีเดียของไทยเมื่อผู้เขียนหนังสือชื่อ Why nations fail ได้รับรางวัลโนเบลทั้งๆ ที่หนังสือเล่มนี้ก็ตีพิมพ์มาหลายปีแล้ว ผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ได้ศึกษาเส้นทางการพัฒนาของประเทศต่างๆ แล้วสรุปว่ารัฐล้มเหลวเกิดจากความล้มเหลวของสถาบันการเมืองที่พัฒนาไปในทางที่ขูดรีดและตักตวงผลประโยชน์เข้าสู่กลุ่มของตน กีดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ผู้เขียนได้เปรียบเทียบตัวอย่างต่างๆ เช่น เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ อย่างไรก็ดี รัฐล้มเหลวไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่เข้มแข็งเพราะรัฐบาลเกาหลีเหนือก็เข้มแข็งมาก แต่รัฐล้มเหลวเป็นมุมมองของประชาชนที่มองว่ารัฐล้มเหลวคือรัฐที่แบ่งปันอำนาจและทรัพยากรให้กับประชาชนอย่างไม่สมดุลและไม่สามารถส่งมอบสวัสดิการที่ควรให้กับประชาชนได้ เช่น ความอยู่ดีกินดี การศึกษาและสิ่งแวดล้อมที่ดี การรักษาความปลอดภัย การบังคับใช้กฎหมาย จนประชาชนหมดความไว้เนื้อเชื่อใจว่าจะมีชีวิตที่ดีได้จากการบริหารของรัฐบาล
รัฐล้มเหลว (failed state) ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามวันแต่เป็นการสะสมผลลัพธ์ของนโยบายที่ล้มเหลว (policy failure) นอกจากนโยบายล้มเหลวแล้วยังมีการสะสมสถาบันที่ล้มเหลว (failed institution) ซึ่งนโยบายที่ล้มเหลวนั้นอาจเกิดจากการมีนโยบายที่ไม่ควรจะมีหรือมีนโยบายที่ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าผลได้ เช่น การจำนำข้าว นโยบายการศึกษาของไทยเป็นตัวอย่างหนึ่งของความล้มเหลวซ้ำซากมากกว่าสองทศวรรษแล้ว นโยบายที่ต้องการมีกาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรแต่ปราศจากการเตรียมการที่รอบคอบและครบถ้วนก็อาจจะเป็นนโยบายหนึ่งซึ่งจะกลายเป็นนโยบายล้มเหลวในอนาคต นโยบายล้มเหลวรวมถึงนโยบายที่ควรมีแต่ไม่มีเช่นการห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า สำหรับนโยบายที่มีอยู่แต่ในกระดาษนั้นประเทศไทยมีมากทีเดียว เขียนไว้สวยหรูในกระดาษหรือแผนพัฒนาฉบับต่างๆ หรือแม้แต่นโยบายที่เป็นกฎหมายแล้ว แต่ไม่บังคับใช้หรือบังคับใช้กับคนบางคน
สถาบันล้มเหลวเกิดจากองค์กรของรัฐที่เชื่อมโยงเป็นระบบเสื่อมประสิทธิภาพ ตัวอย่างสำคัญในไทยก็คือระบบยุติธรรมล้มเหลวที่เลื่องลือในระดับนานาชาติจนกระทั่งนักลงทุนและนักท่องเที่ยวยกเลิกที่จะมาประเทศไทย หรือจะเป็นกรณีหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจตรวจสอบฉ้อราษฎร์บังหลวงในองค์กรอื่น แต่ก็ไม่ตรวจสอบตนเอง ท้ายที่สุดความล้มเหลวเหล่านี้ก็ก่อให้เกิดวงจรอุบาทว์หลายวงจรซ้อนกันจนกลายเป็นสถาบันของรัฐที่ถลุงและดูดซับทรัพยากรส่วนรวมไปเพิ่มความเข้มแข็งให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเครือข่ายของตน
การจัดลำดับดัชนีความเปราะบาง (Fragile states index) ของประเทศที่มีความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มไปสู่ความเป็นรัฐล้มเหลวซึ่งจัดทำโดย Fund for Peace ซึ่งจัดทำในปี 2567 (ค.ศ.2024) โดยให้ประเทศที่มีลำดับที่สูงมีความเปราะบางมาก ซึ่งลำดับที่ 1 และ 2 ได้แก่ ประเทศโซมาเลียและซูดานในแอฟริกา และประเทศที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพสูงสุด (ลำดับที่ 177-179) คือ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ สำหรับประเทศไทย พบว่าอยู่ในอันดับที่ 96 จาก 179 ประเทศ เปรียบเทียบกับมาเลเซียซึ่งอยู่ในลำดับที่ 126 และสิงคโปร์อยู่ในลำดับที่ 165 ประเทศไทยจัดอยู่ในสถานะเปราะบาง (warning) มีจุดอ่อนที่เสถียรภาพ และการบริหารภาครัฐ ส่วนมาเลเซียอยู่ในกลุ่มมั่นคง (stable) และสิงคโปร์อยู่ในกลุ่มมีเสถียรภาพสูง
ลองมาดูว่ารัฐบาลผสมที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำได้ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแรงขึ้นมากเพียงใดใน 2 ปีที่ผ่าน
ในด้านการบริหารภาครัฐ 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัญหาที่เราควบคุมไม่ได้ แต่วิธีการแก้ไขของรัฐบาลที่มีแต่การแจกเงินดังเช่นนโยบายสำคัญที่เรียกว่าดิจิทัลวอลเล็ตก็จ่ายเงินไป 2 รอบแล้ว แต่ก็ไม่มีเกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจอย่างที่คาดไว้ ถึงแม้กำลังจะมีคณะรัฐมนตรีใหม่ซึ่งควรจะมีชุดนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ออกมาก็กลายเป็นนโยบายแบบเดิมๆ ที่ไม่เห็นว่าจะมีความเป็นซาร์เศรษฐกิจของเพื่อไทยอยู่ตรงไหน รวมถึงไม่มีนโยบายปรับสร้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ในด้านการบังคับใช้กฎหมายก็เห็นได้ว่าส่วนใหญ่หย่อนยาน ระบบราชการถูกสยบด้วยทุนสีเทา กฎหมายทีเลือกใช้ก็เป็นแบบเลือกที่รักมักที่ชัง คนจนต้องรับกรรมแต่คนทำดีลได้ก็อยู่ชั้น 14 ตึกถล่มก็เล่นงานภาคเอกชนแต่กลับไม่เล่นงานภาครัฐที่เป็นฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง นโยบายปราบปรามยาเสพติดที่ขู่ว่า “ทักษิณกลับมาแล้ว” ก็ไม่เห็นว่าจะมีผลกระทบอะไรที่ชัดเจน
ตัวอย่างสำคัญคือนโยบายการปราบปรามคอร์รัปชั่นนับเป็นความล้มเหลวที่สุดของรัฐบาลนี้ ปัญหาการปราบปรามการพนันก็พบว่ามีบิ๊กตำรวจอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นบ่อนจริงหรือบ่อนออนไลน์ก็ไม่มีการฟันธงว่าใครจะต้องรับผิดชอบ งานนี้นายกรัฐมนตรีนับเป็นผู้นำองค์กรสูงสุดของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สงสัยเลยว่าทำไมจีนเทา ธุรกิจเทาต่างๆ จึงเข้ามาทำมาหากินสูบเอาผลประโยชน์กันอย่างสบายอารมณ์
การบริหารราชการไทยจึงนับเป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไม่มีการปฏิรูป แทนที่จะมีการกวดขันการเพิ่มประสิทธิภาพของราชการไทยที่มีความสามารถต่ำที่สุดใน ASEAN กลับเพิ่มวันหยุดให้ข้าราชการซึ่งเป็นการเอาเปรียบประชาชน
ในด้านสถาบันการเมืองและตุลาการก็พัวพันยุ่งเหยิงยับเยินกันไปหมด การเมืองไทยยุคแพทองธาร เป็นการเมืองถอยหลังเข้าคลองสู่ระบบบ้านใหญ่เห่าไฟพ่นพิษ เกิดนิติสงครามจากการแย่งอำนาจทางการเมืองผ่านอำนาจตุลาการ 2 ปีที่ผ่านมาในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์ประชาชนไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ นอกเหนือจากการแย่งชิงและแบ่งสรรอำนาจของขั้วการเมืองต่างๆ
แม้ว่าในสายตานานาชาติประเทศไทยยังไม่ใช่รัฐล้มเหลว แต่เมื่อภาวะผู้นำของประเทศไทยได้ถูกเปิดเผย คลิปเสียงนี้และความพยายามที่จะสืบทอดทางการเมืองอาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้พรรคเพื่อไทยซึ่งเคยเป็นพรรคที่เป็นความหวังของคนไทยกลุ่มหนึ่งและพรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดพรรคหนึ่งกลายเป็นพรรคล้มเหลวและอาจจะสูญพันธุ์ไปในที่สุด