ข่าวออกอากาศ : โดย กลิ่นบงกช

มีข่าวออกทีวีและข่าวออกมาจากโลกออนไลน์ 2 ข่าว ที่น่าสนใจและควรนำมาต่อเติมให้ผู้สนใจอื่นๆ ได้อ่านกัน

ข่าวแรก คือข่าวที่ว่ากรมธนารักษ์ออกข่าวว่า เหรียญ 25 สตางค์ เหรียญ 50 สตางค์ ขาดแคลน หาไม่ได้ในท้องตลาด ทางกรมกำลังจะผลิตเพิ่ม เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

ส่วนข่าวที่สอง คือข่าวที่โลกออนไลน์ส่งคลิปภาพคนแต่งเครื่องแบบทหาร น่าจะเป็นครูฝึกทหาร ใช้ไม้ตีผู้แต่งเครื่องแบบทหารซึ่งน่าจะเป็นทหารเกณฑ์ ซึ่งนั่งอยู่ที่พื้นถนนคอนกรีต ล้มลุกคลุกคลาน เพราะถูกไม้หวด และถูกเตะหัวเตะหน้า น่าสงสารยิ่งนัก

ไม่แน่ใจว่าเป็นภาพข่าวที่ทางการได้ลงโทษไปแล้วตามที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้หรือไม่ จะอย่างไรก็ตาม จะข่าวใหม่หรือข่าวเก่าก็คงจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ในกรณีที่ดูข่าวซ้ำ ก็ขออภัยด้วย

Advertisement

ขั้นนี้ขอว่าด้วยข่าวแรกก่อน การที่เหรียญ 25 และ 50 สตางค์ขาดแคลน ก็เพราะไม่มีที่จะใช้ ดูเหมือนจะมีที่ใช้อยูไม่กี่แห่ง ที่พอจะนึกออกก็มีเพียงใช้จ่ายบนรถเมล์ ส่วนที่ได้รับมาน่าจะมาจากธนาคาร เมื่อไม่ได้นั่งรถเมล์ เหรียญที่รับมาจากธนาคารก็กองอยู่ที่บ้าน นั่นคือ การเก็บกักเหรียญที่ผลิตออกมาไม่มีการหมุนเวียนในท้องตลาด รัฐก็ต้องใช้ทุนผลิตอยู่ร่ำไป ดูเหมือนทางกรมก็อ้างว่าการผลิตก็ต้องใช้ทุนค่อนข้างมากอยู่ แต่ก็ไม่หาวิธีแก้เลย เมื่อขาดแคลนก็หาทุนมาผลิตใหม่ เป็นอย่างนี้ชั่วนาตาปี

ทำไมจึงสนใจข่าวนี้ ทั้งที่ไม่น่าสนใจเท่าใดนัก และทั้งที่ไม่ใช่ข่าวการเมือง

ขอบอกว่าเรื่องเหรียญนี้ ได้ฟังอดีตนายกฯคนหนึ่งบอกว่า การที่ค่าครองชีพแพงขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการขึ้นราคาสินค้า ขึ้นครั้งละ 1 บาท ครั้งละห้าบาท ถ้าทางการอนุญาตขึ้นราคาสินค้าครั้งละ 50 สตางค์ ครั้งละหกสลึง จะทำให้ได้ประโยชน์ 2 ประการ คือ หนึ่ง เหรียญ 50 มีโอกาสได้ใช้ ในท้องตลาด สอง ค่าครองชีพจะชะลอไม่สูงรวดเร็วเกินไป ฟังแล้วน่าเลื่อมใส และน่าจะเป็นจริงอย่างนั้นด้วย หรือผู้อ่านคิดเป็นอย่างอื่น ก็ไม่ว่ากัน !

นี่คือจุดที่ทำให้สนใจ แต่เมื่อคนพูดเป็นนายกฯอยู่ ไม่เห็นท่านทำเลย หลายคนที่สนใจเรื่องนี้ก็คอยดู จนท่านผู้นั้นหมดอำนาจไป การรอคอยอันตรธานไปด้วย เมื่อกรมธนารักษ์มาออกข่าวเรื่องนี้ จึงปลุกความจำขึ้นมาอีก จึงขอต่อเติมให้ผู้อ่านได้รับรู้ บางท่านอาจจะคิดเหมือนหลายคนที่คิดว่า เรื่องนี้อาจจะทำได้ โดยการที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง อย่าปล่อยให้สินค้าขึ้นราคาครั้งละบาท ให้ขยับตั้งแต่ราคา 50 สตางค์เป็นต้นไป

ขอให้ดูท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศคณะปฏิวัติ ให้ร้านค้าขายน้ำแข็งเปล่าแก้วละ 50 สตางค์ ชาวประชาชื่นชมกันทั่วหล้า ทุกวันนี้มีการผลิตแก้วพลาสติกใบใหญ่ มาใส่เครื่องดื่มในราคาที่แพง 50 บาทขึ้นไป ในแก้วมีน้ำแข็งเต็ม ดูดน้ำไม่กี่อึกก็หมดแล้ว ดูเหมือนเอาเปรียบประชาชนมากไป หรือจะอ้างว่าก็ไปซื้อในร้านกาแฟสดที่มีเครื่องปรับอากาศมันก็แพงละซี่! แล้วจะให้ชื้อที่ไหน ถ้าจะซื้อร้านอื่นที่ขายกาแฟโอวัลตินเหมือนสมัยก่อน ก็แทบจะหาไม่พบ หรือว่าเราหาไม่พบเอง !

กลับเข้าเรื่องเดิมที่ว่า ขอให้ทางการปล่อยให้ราคาสินค้าขยับทีละ 50 สตางค์ หรือถ้าผู้ประกอบการอ้างว่ามันไม่คุ้มทุน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะพระท่านว่า คำพูดของคนเหล่านี้ ไม่ควรเชื่อถือ คนเหล่าไหน? คือ พ่อค้าหนึ่ง คนที่เกลียดกันหนึ่ง และคนที่รักกันหนึ่ง เป็นต้น และถ้าจะอะลุ้มอล่วย เช่นถ้าจะให้ขึ้นราคา 1 บาท ก็กำหนดให้ขึ้นราคาเป็นขั้นตอน คือ ให้ขึ้นราคาเพียง 50 สตางค์ ในปีแรก ปีที่สองขึ้นอีก 50 สตางค์ เป็นต้น

เพียงหนึ่งปีเหรียญ 50 เหรียญ 25 คงมีโอกาสได้ใช้บ้าง แล้วนั่นคือ เหรียญ มีโอกาสหมุนเวียนอยู่ในท้องตลาด ไม่นอนเฉยอยู่ตามบ้าน เมื่อพูดถึงเงินหมุนเวียน ทำให้หลายคนตาสว่าง เพราะสมัยโบราณเราคิดว่าการเก็บเงินไว้ไม่ใช้ เป็นของดี เหมือนอย่างผู้ว่าฯกรุงเทพฯคนหนึ่ง ท่านได้รับคำสรรเสริญในประเด็นที่ท่านเก็บเงินของ กทม.ไว้ได้เป็นจำนวนมาก แต่ต่อมาจึงรู้กันว่า เงินที่เก็บไว้แล้วได้ผลดี น่าจะเป็นเงินครอบครัว ถ้าเป็นเงินรัฐ ควรหาทางใช้ เพื่อให้เงินหมุนเวียนแล้วมันจะกลับมาที่รัฐเอง

เรื่องนี้ถึงกับมีเศรษฐีใหญ่เมืองไทยพูดสนับสนุนโครงการเงินกองทุนหมู่บ้านของรัฐบาล ว่า ผู้กู้เงินกองทุนไปแล้ว จะชักดาบก็ไม่เป็นไร เพราะเงินมันหมุนเวียนในตลาดแล้ว คิดแบบนี้น่าจะไม่ใช่อำนาจรัฐ การใช้เงินของรัฐน่าจะมีหลักการที่ดี การให้ยืมเงินแล้วขยิบตาให้โกงไปไม่ใช่หลักการของรัฐแน่ เรามีหลักการจ่ายเงินประชาชนฟรีๆ มากมาย หลักการแรกขอยกธรรมสำหรับแก้ปัญหาบ้านเมืองที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 2 เรื่อง คือการแก้ปัญหาคนชอบขโมย และการแก้ปัญหาคนยากจน การแก้ปัญหาคนขโมย พระองค์ตรัสว่า เมื่อจับคนขโมยที่เริ่มขโมยครั้งแรกได้แล้ว ให้สอบถามเขาว่า ทำไมจึงมาขโมย ถ้าเขาตอบว่า หิว! เพราะไม่มีจะกิน จึงทรงตรัสวิธีว่า ให้มอบทรัพย์ให้ แล้วให้เขาเลือกว่า จะทำอาชีพใด กสิกรรม โครักขกรรม หรือพาณิชยกรรม เมื่อเขาเลือกอาชีพใดแล้ว ก็มอบทุนทรัพย์ให้พอแก่การลงทุนในอาชีพนั้น แล้วบอกเขาว่า จงนำทรัพย์นี้ไปลงทุนหาทรัพย์ เลี้ยงครอบครัว ถ้ามอบทรัพย์ให้ลงทุนถึง 3 ครั้งแล้วยังขโมยอีกก็ให้ลงโทษ

ถ้าคนขโมยที่ออกจากคุกใหม่ๆ (คนประเภทนี้ไม่ได้ตรัสไว้) ทางการควรฝึกอาชีพ ให้มีงานทำ เพราะคนประเภทนี้เมื่อออกจากคุกแล้ว ญาติพี่น้องเบื่อหน่ายไม่ช่วยเหลือแล้ว เมื่อเขาหิว ก็จะขโมยอีก หรือไม่ก็ไปขอคนอื่น เมื่อคนถูกขอทำท่าทางอิดเอื้อนจะไม่ให้ เขาก็จะขู่ว่าเพิ่งออกมาจากคุก แล้วนั่นคือคนถูกขอจะรีบหยิบเงินให้ คนประเภทใช้แรงงานแบบนี้ ทางการควรตั้งเป็นหน่วยงานช่วยเหลือในรูปบริษัทส่งคนเหล่านี้ให้บริษัทเอกชนจ้างไปทำงานในราคาถูก เพื่อเขาจะได้มีงานทำ ขืนปล่อยให้ออกไปหางานเอง ไม่มีคนรับเข้าทำหรอก แล้วเขาก็ขโมยอีก

การช่วยเหลือคนยากจน เราจะพบคนยากจนในสังคมไทยที่ต้องฆ่าตัวตายเพราะหนีความรับผิดชอบครอบครัวไม่ไหว จะมีชีวิตมองเห็นลูกเมียอดตายไปต่อหน้าก็ทำไม่ได้ จึงฆ่าตัวตายเสียเพื่อไม่ต้องมองเห็นสภาพดังกล่าวนี้ในครอบครัว คนเหล่านี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ปกครองบ้านเมืองต้องให้ทรัพย์ไปตั้งตัว เมืองไทยมีเยอะ นั่นคือรัฐมีทางจ่ายเงินให้หมุนเวียนได้มากมาย

ตอนนี้ก็มีการลงทะเบียนคนยากจนอยู่ เสียงสะท้อนมาว่า คนจนไม่อยากได้ค่าสวัสดิการที่รัฐจะจัดให้ อยากได้เงินมากกว่าการให้สวัสดิการฟรี เป็นผลเสียทำให้หน่วยงานบริการสาธารณะขาดทุน ดังนั้นการให้เงินจะดีกว่า เพราะเงินนั้นเมื่อไปถึงมือคนจน เขาจะได้จ่าย ซื้อของ ภาษีก็จะเข้ารัฐ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่รัฐควรจ่ายเงินให้ฟรีอีกเช่น เอกชนที่สงเคราะห์เด็กอนาถา รัฐควรจ่ายเงินให้ไป คนเร่ร่อนคนเที่ยวหาของบนกองขยะ รัฐควรเรียกมาถามแล้วจ่ายเงินให้ไปลงทุน ถ้าจะได้คะแนนเยอะ น่าจะช่วยชาวนาที่ต้องเช่านาของตนทำนาโดยมอบเงินค่าไถ่ถอนให้ฟรี หรือเพียงให้คืนเงินต้นก็น่าจะดี!

ทุกข้อความที่กล่าวมาดูเหมือนจะขัดความรู้สึกของสังคมปัจจุบัน เพราะอยู่ๆ จะจ่ายเงินให้คนเหล่านี้ฟรีๆ น่าจะทำให้เสียความรู้สึกของคนทั่วไป ถ้ากระไรพรรคการเมืองต้องนำหลักธรรมดังกล่าวนี้เป็นนโยบายของพรรค เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วจึงดำเนินการตามนั้น ความรู้สึกน่าจะดีขึ้น พรรคการเมืองน่าจะลองดูนะ!

สําหรับข่าวที่ 2 คือภาพการซ้อมทหารเกณฑ์ ตามที่ปรากฏในโลกออนไลน์นั้น สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้คน 2 ประเภท กล่าวคือ หนึ่ง พ่อแม่ปู่ย่าตายายของทหารที่ถูกกระทำ ท่านเหล่านี้จะเศร้าสลดอย่างที่สุด และยิ่งเสียชีวิตตามที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ด้วยแล้ว ภาพของทหารจะตกเป็นลบตามความรู้สึกของเขานานเท่านาน ก็เป็นการดีแล้วที่ทางทหารได้ลงโทษครูฝึกเหล่านั้นอย่างทันท่วงที

สอง ประชาชนทั่วไปเมื่อเห็นภาพทหารที่สวมเครื่องแบบถูกทำร้าย ถูกหวดด้วยไม้ แม้จะไม่ใช่ลูกหลานของเขา เขาก็ทนดูไม่ได้ และเมื่อทนดูไม่ได้ พวกเขาต่างก็เต็มใจส่งภาพนั้นๆ ไปยังเพื่อนฝูงพร้อมข้อความที่แสดงความสะอิดสะเอียนการกระทำของครูฝึกทหารเหล่านั้น เมื่อเห็นภาพดังกล่าวมานั้น เดาได้เลยว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นการกระทำที่คึกคะนอง เป็นการกระทำที่อวดอำนาจ เท่าที่สืบทราบมานัยว่า ครูฝึกเหล่านั้นมิใช่ครูฝึกที่แท้จริง เป็นเพียงทหารใหม่ที่ผ่านการฝึกไปแล้ว เมื่อมีทหารรุ่นใหม่มา จึงมอบหน้าที่ให้รุ่นพี่ทำการฝึก แต่ก็คงอยู่ภายใต้การดูแลของนายทหาร เท็จจริงประการใด สุดที่จะทราบได้

เท่าที่ทราบมาการลงโทษทหารฝึกใหม่ที่ถูกตามกฎหมายก็คือ การวิ่ง การวิดพื้น การทำงานหนักในค่ายทหาร ซึ่งโทษเหล่านี้ผู้พบเห็นจะรับได้ แต่การลงโทษที่ผิด เช่น การลงโทษที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนั้นยังมีการลงโทษที่ผิดที่พิสดาร เช่น วิ่งรอบหัวตะปู ใครจะทำได้ คงเป็นลมอยู่ตรงนั้นเอง หรือบางครั้งลงโทษอย่างสกปรก เช่นให้สำเร็จความใคร่พร้อมๆ กัน แถมให้กินน้ำอสุจิของตน เป็นต้น ความนึกคิดของครูฝึกที่ให้ทำอย่างนี้เป็นความคิดที่ต่ำ อารยชนเขาจะคิดทำเรื่องอย่างนี้ในที่แจ้งหรือ! พฤติกรรมของใครที่ทำเยี่ยงนี้!

ข่าวสองข่าวที่เล่ามา เป็นข่าวที่ต่างกัน คือ ข่าวแรกไม่น่าสนใจเท่าไร แต่เป็นข่าวที่นายกฯคนหนึ่งท่านวางแผนจะทำ แต่ก็ไม่ได้ทำ จึงเล่ามาเพื่อทวง ส่วนข่าวที่ 2 น่าสนใจมากกว่า และน่าจะประกาศให้ชาวบ้านรับรู้มากกว่า ทางต้นเรื่องจะได้ระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตามที่คนไทยทุกคนต้องการอย่างนั้น จริงหรือไม่?

กลิ่นบงกช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image