จากโอบามาแคร์สู่ทรัมป์(ไม่)แคร์ (ต่อ) โดย สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์

ครั้งที่แล้ว (มติชน 14 เมษายน 2560) ผู้เขียนเล่าถึงหน้าตาโอบามาแคร์ว่าเป็นอย่างไร และความพยายามของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะล้มโครงการนี้ ซึ่งจบลงด้วย “การพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของทรัมป์ ความพยายามคว่ำกฎหมายโอบามาแคร์ล้มเหลว” ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อนายทรัมป์เตรียมจะเสนอระบบประกันสุขภาพใหม่ภายใต้ร่างกฎหมาย American Health Care Act (AHCA) ต่อสภาผู้แทนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม เพื่อแทนที่โอบามาแคร์แต่ซาวเสียงแล้วพบว่าคะแนนเสียงสนับสนุนไม่พอเพราะไม่ถึง 216 เสียง (จาก 435 เสียง) นายพอล ดี. ไรอัน ประธานสภาผู้แทนซึ่งอยู่พรรครีพับลิกันกระซิบบอกนายทรัมป์ให้ถอนร่างออกมาก่อนเพราะคะแนนเสียงไม่พอ ซึ่งนายทรัมป์ก็ทำตาม ถอนร่าง AHCA ก่อนการลงคะแนน

และนายพอล ดี. ไรอันเอง ตอนนั้นสรุปว่า “เราคงต้องอยู่กับโอบามาแคร์ต่อไปอีกนาน”

นายทรัมป์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว เพราะประเมินว่าคะแนนเสียงจะขาดราวๆ 10-15 คะแนน และคงจะหาเสียงจากฝ่ายเดโมแครตมาเติมได้ ระหว่างนั้นช่วงเดือนมีนาคมนายทรัมป์ก็ทวีตอย่างต่อเนื่องว่า โอบามาแคร์กำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และพรรครีพับลิกันจะรวมกำลังกันผ่านกฎหมายนี้จนได้

และแล้วพรรครีพับลิกันก็เสนอร่างกฎหมายทรัมป์แคร์เข้าสภาผู้แทนเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2560 และได้คะแนนเสียงผ่านอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด 217 ต่อ 213 (เส้นตัดสินอยู่ที่ 216 เสียง)

Advertisement

ร่างกฎหมายนี้ยังต้องถูกเสนอเข้าวุฒิสภาพิจารณาต่อไปซึ่งไม่รู้จะออกลูกผีลูกคน แต่เท่าที่ผ่านสภาผู้แทนมาได้ นายทรัมป์ก็ปลื้มว่าเป็นชัยชนะอย่างยิ่งแล้ว

ผู้สื่อข่าวสหรัฐบางคนและสำนักงบประมาณสภาคองเกรสตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์แคร์จะทำให้คนอเมริกัน 24 ล้านคน ไม่ได้รับประกันสุขภาพอีกต่อไป ค่ารักษาพยาบาลหรือค่าประกันสุขภาพผู้สูงอายุแพงขึ้นร้อยละ 15 ถึง 20 โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะเสียค่าประกันสูงขึ้นถึงร้อยละ 50 และอาจกระทบกระเทือนการประกันสุขภาพของผู้ที่ป่วยอยู่ก่อนการประกัน และการเสนอร่างกฎหมายทรัมป์แคร์ครั้งที่สองนี้สมาชิกพรรคหลายคนก็ไม่แน่ใจว่ามีการปรับรายละเอียดทรัมป์แคร์แค่ไหน

นอกจากนั้น ยังมีผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ออกมาคัดค้านทรัมป์แคร์หลายราย เช่น สมาคมการแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) ให้ความเห็นว่าร่างกฎหมายทรัมป์แคร์เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ป่วยและระบบการดูแลรักษาพยาบาลของอเมริกา ในขณะที่สมาคมผู้เกษียณอเมริกัน (American Association of Retired Persons: AARP) ออกมาเตือนว่าการปรับแก้ร่างกฎหมายในวินาทีสุดท้ายเพื่อให้ได้คะแนนเสียงที่ทำไปนั้นทำให้ร่างกฎหมายที่เลวอยู่แล้วเลวมากขึ้น

Advertisement

ถึงตรงนี้เราคงลองมาดูรายละเอียดกันว่า โอบามาแคร์ต่างกับทรัมป์แคร์อย่างไร เวลาเขาวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือจะจำไปใช้ จะได้เข้าใจมากขึ้น

ไม่ง่ายสำหรับกะเหรี่ยงอย่างเรา เพราะระบบประกันสุขภาพของอเมริกาค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน เฉพาะโอบามาแคร์อย่างเดียวก็หนาเป็นพันหน้า ที่สำคัญข้อมูลที่ได้รับตอนนี้จะมาจากสองฝ่าย คือฝ่ายที่สนับสนุนโอบามาแคร์และฝ่ายที่สนับสนุนทรัมป์แคร์ (ซึ่งที่จริงเข้าใจว่าคือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของนายทรัมป์หรือพรรครีพับลิกัน)

ถ้ายังจำได้ ในบทความที่แล้ว ผู้เขียนเล่าถึงลักษณะสำคัญของโอบามาแคร์ว่าคือระบบประกันสุขภาพภายใต้กฎหมาย The Patient Protection and Affordable Care Act เรียกสั้นๆ ว่า Affordable Care Act หรือ ACA ที่มุ่งแก้ปัญหาระบบประกันสุขภาพที่แพง และไม่ทั่วถึงสำหรับคนอเมริกัน หลักการของโอบามาแคร์อย่างง่ายๆ คือ การเพิ่มคุณภาพของการประกันสุขภาพ ทำให้ค่าประกันถูกลง และการขยายประกันสุขภาพให้ครอบคลุมประชาชนสหรัฐอีกร้อยละ 15 (หรือ 46 ล้านคน) ที่ยังไม่มีระบบประกันสุขภาพใดรองรับ รวมทั้งการขจัดเงื่อนไขในการรับประกันสุขภาพให้ยอมรับผู้มีปัญหาสุขภาพมาก่อน

โอบามาแคร์บังคับให้คนอเมริกันทุกคนประกันสุขภาพโดยรัฐให้เงินอุดหนุน มีการลดต้นทุนค่าประกันสุขภาพโดยดึงเอาคนวัยหนุ่มสาวและคนที่สุขภาพดีเข้าระบบเข้าเฉลี่ยค่าใช้จ่ายด้วย มีการกำหนดให้มลรัฐต่างๆ ต้องดูแลให้มีการประกันสุขภาพสำหรับเด็กที่ไม่ได้ร่วมประกันสุขภาพกับครอบครัว และบังคับให้นายจ้างที่มีลูกจ้างเต็มเวลามากกว่า 50 คน ต้องทำประกันสุขภาพให้ลูกจ้าง ถ้าไม่ปฏิบัติตามต้องถูกปรับภาษี โอบามาแคร์กำหนดให้มลรัฐต่างๆ ขยายบริการเมดิเคดโดยให้อนุญาตให้บุคคลหรือครอบครัวที่มีรายได้ถึง ร้อยละ 133-138 ของระดับความยากจนเข้าร่วม

โดยย่อๆ โอบามาแคร์แตกต่างจากทรัมป์แคร์ใน 9 ประเด็น คือ

(1) การบังคับให้ทุกคนมีประกันสุขภาพ โอบามาแคร์บังคับ ทรัมป์แคร์ไม่บังคับ (2) สิทธิประโยชน์รักษาพยาบาลที่จำเป็น โอบามาแคร์กำหนดว่าบริษัทประกันต้องให้อย่างน้อย 10 อย่าง ทรัมป์แคร์ให้เป็นอำนาจของแต่ละมลรัฐ (3) การยอมให้ผู้มีโรคหรือสุขภาพอยู่ก่อนทำประกัน โอบามาแคร์ห้ามบริษัทประกันปฏิเสธการให้ประกันแก่ผู้ที่มีโรคมาก่อน กล่าวคือไม่ต้องผ่านตรวจโรค ทรัมป์แคร์ให้แต่ละมลรัฐพิจารณาเอง (4) การให้เงินช่วยค่าประกันสุขภาพ โอบามาแคร์ให้ผู้ที่มีรายได้ 4 เท่าของเส้นความยากจนได้รับเงินช่วยนี้ ทรัมป์แคร์ไม่ให้เป็นเงินแต่ให้เป็นการลดภาษีโดยขึ้นอยู่กับอายุผู้เอาประกันไม่ใช่รายได้ (5) การให้งบประมาณเมดิเคดแก่มลรัฐ โอบามาแคร์ให้ทุกมลรัฐเท่ากับที่ทางมลรัฐจ่าย ทรัมป์แคร์ลดเงินสนับสนุนเมดิเคดของมลรัฐ (6) การกำหนดค่ารักษาพยาบาลผู้สูงอายุ โอบามาแคร์ห้ามเก็บมากกว่า 3 เท่าของคนวัยหนุ่มสาว ทรัมป์แคร์ยอมให้บริษัทประกันเรียกเก็บผู้สูงอายุได้ถึง 5 เท่าคนหนุ่มสาว (7) ยาที่แพทย์สั่ง โอบามาแคร์มีการสนับสนุนการสั่งยามาจากต่างประเทศแต่ไม่มีข้อกำหนดเรื่องยาที่แพทย์สั่ง ทรัมป์แคร์พูดถึงการอนุญาตให้นำเข้ายาที่แพทย์สั่งได้เพื่อลดค่ายา (8) บัญชีออมทรัพย์เพื่อสุขภาพ โอบามาแคร์ให้เป็นทางเลือก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ใช้เพราะต้องเป็นประกันที่มีส่วนลดภาษีสูงและมีค่าใช้จ่ายมาก ทรัมป์แคร์มีโครงการนี้โดยให้ประชาชนเปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อสุขภาพและสามารถเอาค่าประกันไปหักลดภาษีได้

และ (9) การลดภาษี โอบามาแคร์ให้ประชาชนสามารถลดค่ารักษาพยาบาลได้เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ ทรัมป์แคร์อนุญาตให้ประชาชนสามารถนำค่าประกันสุขภาพไปหักลดภาษีได้เต็มที่

ข้อเปรียบเทียบดังกล่าวมาจากเว็บไซต์ชื่อทรัมป์แคร์ดอทคอม ไม่ต้องสงสัยว่าคงเอียงๆ ไปทางทรัมป์แคร์ ท่านที่สนใจอาจไปดูบทวิเคราะห์อีกมุมหนึ่งจากสถาบัน The Century Foundation ซึ่งอาจจะเป็นสายวิชาการและให้ข้อวิเคราะห์ไว้ 9 ประเด็นซึ่งมีย่อๆ ดังนี้ คือ (1) โอบามาแคร์ช่วยขยายระบบประกันสุขภาพราคาไม่แพงให้แก่ประชาชนอเมริกันเพิ่มขึ้นจากอดีตถึง 46 ล้านคน (ภายใต้ทรัมป์แคร์ตรงนี้จะหายไปราวๆ 20 ล้านคน) (2) โอบามาแคร์ช่วยให้คนอเมริกันได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายประกันสุขภาพที่ไม่เป็นธรรมในอดีต โดยก่อนโอบามาแคร์คนงานอเมริกันร้อยละ 20 มีประกันสุขภาพที่กำหนดเพดานหรือจำกัดสิทธิประโยชน์ เป็นเหตุให้ผู้เอาประกันต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาลเองสูง (3) ภายใต้
โอบามาแคร์ค่ารักษาพยาบาลและค่าประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นช้ากว่า

(4) โอบามาแคร์ยังมีผลอยู่ โดยในปี 2560 ร้อยละ 83 ของผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพจากรัฐบาลผ่าน HealthCare.gov ยังจ่ายค่าประกันเท่าเดิม (5) ทรัมป์แคร์เอื้อประโยชน์กับคนรวยเพราะเป็นเรื่องของการหักลดวงเงินเสียภาษี (6) ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุและในที่สุดคนอเมริกันทุกคนที่ได้รับการลดภาษีเพื่อเป็นค่าประกันสุขภาพต้องจ่ายเงินมากขึ้นภายใต้ทรัมป์แคร์ โอบามาแคร์ลดภาษีตามรายได้และค่าประกันของประชาชน แต่ทรัมป์แคร์ลดภาษีแบบตายตัวและปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เอาประกันสุขภาพที่รายได้ต่ำกว่า 2 เท่าของเส้นความยากจนต้องจ่ายมากขึ้นโดยที่ได้ความคุ้มครองเท่าเดิม

(7) คนในชนบทหรือมลรัฐที่ค่าครองชีพสูงต้องจ่ายมากขึ้นภายใต้ทรัมป์แคร์ (8) ทรัมป์แคร์ให้งบประมาณเมดิเคดแก่มลรัฐเป็นรายหัวเพื่อประหยัดงบประมาณเมดิเคด เป็นการโยนความเสี่ยงด้านการคลังให้กับมลรัฐ และทำให้สิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุและผู้พิการลดน้อยลงจำนวนมาก และ (9) ทรัมป์แคร์จะทำให้อัตราผู้ไม่ได้ประกันสุขภาพกลับไปสูงเท่ากับก่อนสมัยโอบามาแคร์

แล้วทรัมป์แคร์จะรอดสันดอนหรือไม่

หลายคนบอกว่าชัยชนะที่ร่างกฎหมายทรัมป์แคร์ผ่านสภาผู้แทนเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมนั้นเป็น Pyrrhic victory หรือชนะอย่างสะบักสะบอมเกือบตายสำหรับนายทรัมป์ เนื่องจากวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยให้ร่างกฎหมายทรัมป์แคร์ลอยนวลในสภาพที่ผ่านสภาผู้แทนมาอย่างนั้น นอกจากนั้นแล้วถ้าจะให้ร่างกฎหมายผ่านวุฒิสภา บรรดาผู้ใหญ่ในพรรครีพับลิกันต้องออกแรงเหนื่อยกับสมาชิกพรรคในรัฐที่คะแนนเสียงไม่เข้าข้างใคร

เพราะคะแนนเสียงรีพับลิกันคงออกมาไม่สวยนักในการเลือกตั้งกลางสมัย ปี 2561

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image