ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งคำถาม 4 ข้อ
ผลกระเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้นเขย่าโรดแมปเลือกตั้งไปมากพอสมควร
ทั้งนี้เพราะ คำถามดังกล่าวต้องการคำตอบจากประชาชนที่คาดคะเนถึงรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
คาดว่าได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ ?
และถ้าไม่ได้รัฐบาลที่มีธรรมาธิบาลแล้วจะทำอย่างไร?
คำถามนี้เกิดขึ้นจาก พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช. มีอำนาจตามมาตรา 44 ที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าที การเมืองจึงเกิดอาการลังเล
เพราะนั่นคือสัญญาณเลื่อนโรดแมป
การเลื่อนโรดแมปหลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ไปแล้วนั้นทำได้ลำบาก
รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความสำคัญมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คล้ายเป็นจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลัง คสช.
นับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้งตามเจตนาที่บัญญัติเอาไว้ โดยมีประชาชนจำนวนมากลงประชามติ
ทั้งนี้แม้ว่า หลังจากการทำประชามติจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างท้วมท้นในเสียงที่ “ถล่มทลาย”
แต่ทุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้น กลับไปเถียงสักนิดว่า สาเหตุที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้รับการสนับสนุน
เพราะประชาชนต้องการเลือกตั้ง
ดังนั้น แม้ คสช. จะมีความคิดขยับวันเลือกตั้งออกไปอีกหรือไม่ก็ตาม ต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีเหตุอันสมควรจริงๆ แล้วล่ะก็
ถือว่าดำเนินการได้ยาก
ถึงอย่างไรการเลือกตั้งก็ต้องเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นครั้งแรกของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถือเป็นการเลือกตั้งที่ คสช. มีความได้เปรียบ
อย่างน้อยก็ได้เปรียบในจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช. สามารถเลือกได้
อย่างน้อยก็ได้เปรียบในจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีวิธีการเลือกอันน่าจะนำไปสู่ “เบี้ยหัวแตก”
อย่างน้อย แม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้เสนอชื่อผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรี และการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก็ใช้เสียง 2 สภา
ทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา
ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรมีโอกาสเป็น “เบี้ยหัวแตก” ขณะที่วุฒิสภามีโอกาสเป็น “ปึกแผ่น”
ดังนั้น ถ้า คสช. ต้องการจะสืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ยิ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มีกุญแจล็อกเก้าอี้ให้แต่เฉพาะผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง หากแต่ได้เปิดกว้างให้ใครก็ได้ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นนายกฯ
เท่ากับว่า รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ คสช. มีสิทธิครอบครองเก้าอี้ตัวนี้ด้วย
เท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีสิทธินั่งเป็นนายกฯต่อ
แต่เมื่อมีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่เคยเป็นเจ้าของสนามย่อมไม่ยอมแพ้
ขณะนี้จึงปรากฏความเคลื่อนไหวของนักการเมืองอย่างเห็นได้ชัด
ที่พรรคประชาธิปัตย์ บรรดาอดีต ส.ส.พรรคที่ผละไปเป็นแกนนำ กปปส. ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ขอมาร่วมกิจกรรมของพรรคอีกครั้ง
ที่พรรคเพื่อไทย มีกระแสทาบทามบุคคลภายนอกมาเป็นแกนนำของพรรคอยู่เนืองๆ แม้ข่าวที่ปรากฏจะมีการปฏิเสธออกมาเป็นระยะ
แต่ในขณะที่มีการปฏิเสธ ก็แสดงว่ามีความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าว
ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ของอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา บรรดาแกนนำขุนพลคู่กายนายบรรหาร ต่างส่งเสียงเชียร์นายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นหัวหน้า
และตัวนายวราวุธเองก็ให้สัมภาษณ์ยืนยันการนำพรรค
และประกาศนำคนรุ่นใหม่เข้าสู่เวทีการเมือง
ขณะที่พรรคชาติพัฒนา รวมถึงพรรคภูมิใจไทย ก็มีความพร้อมการเลือกตั้ง
ทุกพรรคล้วนมียุทธศาสตร์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ร่วมกับพรรคทหาร ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ยืนตรงข้ามพรรคทหาร
ทุกยุทธศาสตร์ทางการเมือง ล้วนยืนอยู่บนผลประโยชน์ทั้งสิ้น
ผลประโยชน์เหล่านั้น ทุกวันนี้อยู่ในมือของ คสช.
แต่เมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้น ผลประโยชน์ดังว่า ย่อมต้องผ่านการ “แบ่งเค้ก”
นอกจากนี้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มปรากฏการตระเตรียมลู่ทางสำหรับคณะกรรมการองค์กรอิสระกันบ้างแล้ว
เริ่มจากร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยกรรมการ กกต. ที่ สนช.มีความเห็นควร เซตซีโร่ ชุดเก่า และเปิดทางให้ชุดใหม่ 7 คนเข้าทำงาน
ยังมีร่างจาก กรธ. ที่เสนอให้ กสม. ต้องพ้นตำแหน่ง ด้วยเหตุผลจากสัญญากรุงปารีส
แต่องค์กรอิสระที่ยังไม่มีข่าวเข้าไประคายตัว คือ ป.ป.ช. และ ศาลรัฐธรรมนูญ
น่าสนใจว่า ระหว่างที่ความคิดเห็นเรื่อง เซตซีโร่ กกต. แพร่หลาย ได้ปรากฏข้อสันนิษฐานทางการเมืองดังขึ้นเป็นระลอก
เมื่อ กกต.ตั้งแทนสอบ 9 รัฐมนตรีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็ถูกตีความว่าเป็นการ “เอาคืน”
แม้ทาง กกต.จะปฏิเสธ แต่ด้วยจังหวะเวลาที่ปรากฏเป็นข่าว
พบว่าเป็นห้วงเวลาที่แพร่หลาย เป็นห้วงเวลาที่เกิดหลังจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีให้ทรรศนะเกี่ยวกับเซตซีโร่ กกต.
เพื่อแก้ปัญหา “ปลา 2 น้ำ”
และเมื่อมีข่าวว่า กกต. จะดำเนินการกับ 9 รัฐมนตรีทุกอย่างจึงตีความทางการเมืองได้ว่า “เอาคืน”
ขณะเดียวกันก็มีเหตุผลจากฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการเซตซีโร่ทางหนึ่งว่า เกรงว่า คสช.จะจัดคนลงไปเป็นกรรมการองค์กรอิสระ
แสดงว่า การเมืองเองก็เหลียวมองไปที่องค์กรอิสระเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คสช. หรือนักการเมืองล้วนมีโอกาส
ผลการสอบถามความคิดเห็นของคณะอนุกรรมการ ปยป. ที่ทำเรื่องปรองดองทั่วประเทศได้สรุปคร่าวๆ ออกมาแล้ว
ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยสนใจการเมือง
สอดรับกับข้อสันนิษฐานที่ว่า ประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านอย่างท้วมท้น เพราะประชาชนต้องการเลือกตั้ง
และยังสอดรับกับคำถาม 4 ข้อที่ พล.อ.ประยุทธ์ สอบถามประชาชนในเรื่องธรรมาภิบาลหลังการเลือกตั้ง
เพราะท่าทีของฝ่ายรัฐบาลที่ออกมาเช่นนั้น ทำให้คิดได้ว่า ไม่มั่นใจผลการเลือกตั้ง
ณ วันนี้เมื่อทุกอย่างมุ่งสู่จุดหมายคือการเลือกตั้ง
ทั้ง คสช. ทั้งพรรการเมือง และกลุ่มการเมืองที่ต้องการบริหารประเทศ จึงมีแนวโน้มที่จะปะทะกันหนักขึ้น
สถานการณ์การเมืองที่แลดูสงบบนผิวน้ำ แท้ที่จริงแล้วใต้น้ำกลับปรากฏคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
กระหน่ำพัดอย่างรุนแรง !