กลัวตกสวรรค์ : โดย กลิ่นบงกช

ทุกวันนี้มีการพูดถึงคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี คำถามทั้งหมดนั้นถูกวิจารณ์ว่าผู้ตั้งคำถามอยากจะอยู่ในตำแหน่งนายกฯต่อ จึงถามหาความชอบธรรม ในการที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น คำถามที่ว่า คิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่

ต่อคำถามนี้ตอบได้เลยว่า คนกลุ่มหนึ่งจะตอบว่าคงจะไม่ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล เพราะพวกนายทุนสามานย์จะกลับมาอีก (ขำหนอ! คนรวยคนไหนเป็นคู่แข่งทางการแสวงหาอำนาจ ก็เรียกเขาว่าทุนสามานย์)

แล้วก็จะเขียนต่อไปว่า ดังนั้น เพื่อสร้างธรรมาภิบาล ถ้ามีการเลือกตั้ง ขอให้นายกฯ ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไป ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะตอบว่า ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยจะต้องเริ่มที่ประชาชน ถ้าประชาชนเลือกรัฐบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล ต่อไปประชาชนจะไม่เลือกเข้ามาอีก ขอให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นไปตามธรรมชาติ การที่ตั้งคำถามแบบนี้ก่อนการเลือกตั้ง ไม่มีอะไรหรอก! นอกจากพยายามยื้ออำนาจการปกครองเอาไว้ในกลุ่มของคนที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจเท่านั้น โดยพยายามขัดขวางชนชั้นนายทุนให้พ้นวงการ

คำถามที่ 2 ถามว่า หากไม่ได้จะทำอย่างไร ต่อคำถามข้อนี้ คนกลุ่มหนึ่งจะตอบว่า ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงไม่ต้องให้มีการเลือกตั้งเท่านั้น การตอบอย่างนี้ ตรงใจกับคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามยึดอำนาจการปกครองบ้านเมืองไว้เฉพาะกลุ่มตน ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งจะตอบว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ฝ่ายค้านในสภาต้องขออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อรัฐบาลลาออกหรือยุบสภา แล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนจะไม่เลือกตัวแทนผู้ไร้ธรรมาภิบาลมาดูแลบ้านเมืองอีก นี่คือการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ชาวโลกเขาทำกัน

Advertisement

คำถามที่ 3 ถามว่า การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปนั้น ถูกต้องหรือไม่ ต่อคำตอบนี้ คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเนื้อเดียวกันกับ คสช.มาก่อน จะตอบทันทีเลยว่าถ้าเลือกตั้งมาแล้ว ทำลายอนาคตของประเทศ ทำลายยุทธศาสตร์ชาติ ทำลายการปฏิรูปก็ไม่ถูกต้อง ที่จะให้มีการเลือกตั้ง

แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะตอบว่า ก่อนตอบคำถามนี้ ขอทราบก่อนว่าอนาคตของประเทศตามความคิดของท่านคืออะไร? ยุทธศาสตร์ชาติของท่านคืออะไร? การปฏิรูปของท่านคืออะไร? เมื่อไม่รู้ยุทธศาสตร์ของท่านแล้ว จะตอบได้อย่างไร ดังนั้น กลุ่มนี้ก่อนตอบจึงสมมุติอนาคตของประเทศ 2 รูปแบบ แล้วเลือกคำตอบ

รูปแบบที่หนึ่ง ถ้าอนาคตของประเทศ ก็คือกลุ่มคนถืออาวุธยังครองอำนาจรัฐ ถ้ายุทธศาสตร์ชาติยังเหลื่อมล้ำ เช่น ประชาชนไทย 10% ของประชาชน 70 ล้านคน ถือครองที่ดินในประเทศถึง 70% ของแผ่นดินไทยทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน ประชาชนไทยอีก 90% เหลือที่ดินที่จะนำมาแบ่งกันเพียง 30% ของแผ่นดินไทย หรือการปฏิรูปประเทศ เข้าข้างตนอย่างเดียว คนกลุ่มนี้จะตอบทันทีว่า ถูกต้องที่สุดที่จะให้มีการเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ประชาชนมาช่วยกันสร้างอนาคตของประเทศชาติ

รูปแบบที่ 2 ถ้าอนาคตของประเทศ คือประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งตามวาระ ไม่มีการยึดอำนาจของทหาร ยุทธศาสตร์ชาติไม่มีการเหลื่อมล้ำ ประชาชนทุกครอบครัวมีการถือครองที่ดินตามฐานะของตน การปฏิรูปก็คือ การเข้มงวดวินัยข้าราชการ ตำรวจต้องไม่เก็บส่วยพ่อค้าประชาชน ทหารต้องอยู่เพื่อปกป้องประเทศ ดูแลชายแดน ทหารต้องทำตัวเหมือนอารยประเทศไม่มายุ่งกับการเมือง

ถ้าอนาคตของประเทศเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งถูกต้องที่สุดที่จะต้องมีการเลือกตั้ง ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง

คําถามที่ 4 ถามว่า กลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้แล้ว จะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีใด คำถามนี้ กลุ่มหนึ่งคงตอบว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วนักการเมืองเหล่านั้นเข้ามาได้ ก็ให้ทหารเข้ามาแก้ไข โดยการยึดอำนาจเหมือนเดิม แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งจะตอบว่า ความไม่เหมาะสมดังกล่าวนั้น ต้องถามก่อนว่าคืออะไร ถ้าเป็นความไม่เหมาะสมเพราะทุจริตโครงการต่างๆ จนทำให้ผลงานที่ทำไม่สำเร็จ เช่น การสร้างโรงพักไม่สำเร็จ เป็นต้น ฝ่ายค้านในสภาต้องลงมติไม่ไว้วางใจ ให้รัฐบาลลาออกหรือยุบสภา จากนั้นก็มีการเลือกตั้งใหม่ คราวนี้ประชาชนต้องรู้สำนึก อย่าได้เลือกคนเช่นนั้นเข้าไปเป็นรัฐบาลอีก

แต่ถ้าเป็นนโยบายของรัฐบาล เป็นนโยบายของพรรคการเมือง เขาทำให้ประชาชนผู้ยากไร้ ฝ่ายตรงกันข้ามคะแนนสู้เขาไม่ได้ก็หาเรื่องว่าเขาโกง ทำการฟ้องร้อง ป.ป.ช.ให้ถอดถอนจากตำแหน่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ ประชาชนเขามองออก ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะแม้รัฐบาลจะยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ อีกฝ่ายก็ไปขัดขวางการเลือกตั้ง กกต.เองก็ไม่พยายามให้การเลือกตั้งสำเร็จ ประเทศก็จมปลักอยู่จนทุกวันนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนเขาคงเลือกคนเดิมนั่นแหละ

คำถามดังกล่าว ถูกวิเคราะห์ว่าหวังจะอยู่ในอำนาจต่อไป เพราะกลัวตกอำนาจ เหมือนเทวดาบนสวรรค์ ที่ท่านมีความสุขตลอดกาลเวลา ไม่มีความทุกข์เลย แต่เมื่อนิมิตความตายปรากฏ ท่านจะกลัวตกจากสวรรค์ มนุษย์เราขณะที่อยู่ในอำนาจ ก็มีแต่ความสุข แต่พอจะหมดวาระก็เสียดาย

คำถามนี้จึงปรากฏขึ้น แต่คำถามแบบนี้ในอดีตที่ผ่านมา มักจะเกิดแก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คือกลัวทหารยึดอำนาจ ทหารนั้นจะคอยจังหวะ เมื่อสื่อออกข่าวทุจริตของรัฐบาลมากๆ เข้า สื่อก็จะถามทหารว่าจะมีการยึดอำนาจหรือไม่ ทหารจะตอบทันทีว่าไม่มีการยึดอำนาจ การถามนั้นเป็นเหมือนเป็นการถามเปิดทางให้มีการยึดอำนาจ เพราะเมื่อถามบ่อยๆ เข้า ประชาชนก็ชินชา นั่นเป็นการเปิดประตูให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจ ถามว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กลัวใครมาแย่งอำนาจ ตอบว่าจะมีใครเสียอีกเล่า! นอกจากกลุ่มคนที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจ ถามต่อไปว่า แล้วรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการยึดอำนาจ เขาจะกลัวใครมาแย่งอำนาจ จะเป็นใครเสียอีกเล่า! นอกจากกลุ่มคนที่มีเงินเป็นฐานอำนาจ คือ พ่อค้านายทุนเท่านั้น

เพราะคนสองกลุ่มนี้ เขาจะแย่งอำนาจรัฐกันทุกสังคมในทุกชาติ เหมือนเขากำลังกลัวอยู่ขณะนี้

วิธีแย่งอำนาจของกลุ่มคนสองพวกนี้ ก็คือแย่งคนอีกกลุ่มหนึ่งมาเป็นพวกตน ถามว่า เขาแย่งคนกลุ่มไหน ตอบว่า คนกลุ่มที่เขาแย่งกันก็คือ คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ทุกวันนี้สังคมไทยเรียกว่ารากหญ้า คอมมิวนิสต์เรียกว่าชนชั้นกรรมาชีพ สังคมอินเดียเรียก วรรณะศูทร คนกลุ่มนี้มีมวลชนเป็นฐานอำนาจ แต่เพราะไม่มีเครื่องมืออะไรต่อรอง จึงรวมกันไม่ติด เมื่อรวมกันไม่ติด ก็ไม่มีพลังมวลชนมาแย่งอำนาจกะเขา บางครั้งอาจจะรวมกันได้ แต่ถ้ากลุ่มคนที่มีอาวุธเป็นฐานอำนาจ เป็นรัฐบาล เขาก็ใช้อาวุธสลายการชุมนุม ชาวนาจะรวมตัวกันเป็นสมาคม ก็รวมตัวกันไม่ติด น่าจะเป็นเพราะพรรคการเมืองแย่งกัน หากำลังหนุนให้พรรคของตน

รัฐบาลที่ผ่านมา มีนโยบายส่งเสริมอาชีพของชาวนา จนได้ใจจากประชาชน ผู้มีอำนาจก็จะพยายามห้ามทำประชานิยม แต่แม้จะห้ามเขา ตัวก็กำลังวางแผนหางบประมาณห้าหมื่นล้านแจกคนยากจน ก็ดีอยู่หรอกที่แจกเงินคนจน แต่การแจกเงินไม่นานก็หมด เขาก็จนเหมือนเดิม สิ่งที่ควรแจกคือที่ดิน น่าอนาถใจ ที่คน 90% ของประชาชนทั้งประเทศ มีที่ทำกินเพียง 30% ของที่ดินทั้งประเทศ นอกจากนั้นที่ดิน 70% ของที่ดินทั้งประเทศ เป็นกรรมสิทธิ์ของคนเพียง 10% ของคนทั้งประเทศ

เมื่อพูดถึงที่ดิน รัฐบาลปัจจุบันทำถูกแล้ว ที่ยึดที่ดินของกำนันดังเมืองกาญจนบุรี เพราะที่เมืองนี้ เมื่อปี 2481 รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาให้ที่ดินเป็นที่หวงห้ามเพื่อปลูกไผ่ ป้อนโรงงานกระดาษ ขณะนี้ โรงงานกระดาษกระทรวงกลาโหมเลิกไปแล้ว ไผ่ก็หมดแล้ว แต่ทหารชั้นผู้น้อยขอที่ดังกล่าวทำกิน ทางกองทัพก็ให้ ทำไปทำมาทหารก็ขายที่เหล่านั้นให้ประชาชน เอกสารสิทธิก็คือใบ บ.ภ.ท.5 ทุกวันนี้บางคนซื้อไว้เป็นพันไร่ แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร พูดก็พูดเถอะ! ขอปรามาสว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่กล้าทำแน่ เพราะอะไร? คิดดูซี่ !

ถ้าพรรครัฐบาลจะทำ คนที่ถือครองที่ดินไว้แสนไร่ แอบมากระซิบว่า “รอไปก่อนเถอะ ผมช่วยบำรุงพรรคหนึ่งพันล้าน” เป็นไง! ทำได้ไหมเอ่ย!

กลิ่นบงกช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image