“มหาอำนาจ”เปลี่ยนไป โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

(แฟ้มภาพ)AFP PHOTO / SAUL LOEB

ดูเหมือนว่าความโกลาหลทางการเมืองของประเทศไทยเราจะยังไม่จบลงง่ายๆ แม้จะมีความชัดเจนว่ากำลังดำเนินไปสู่ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ “นักการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง”

และแน่นอนในความพ่ายแพ้ถอยร่นไม่เป็นท่าของ “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง”

กฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่มีขึ้นมาเพื่อทำให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่ไม่มีพลังอะไรที่ประชาชนจะฝากความหวังไว้ได้

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ มุ่งไปในทางทำตัวให้อยู่ได้อย่างสอดคล้องกับยุคสมัย หาทางให้พรรคเป็นตัวเลือกเข้าร่วมในอำนาจของ “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” ไม่ยกเว้นไม่ว่าจะเป็นพรรคใหญ่ หรือพรรคเก่าแก่

Advertisement

กระทั่งพรรคที่เชื่อกันว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าสู้กับ “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” ลึกลงไปกลับมีข่าวคราวของการหาหนทางที่จะประนีประนอมกับ “กลุ่มอำนาจ”

เรื่องราวดำเนินไปคล้ายกับว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ถึงวันนี้มี “ผู้ชนะที่แน่นอน” ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอีกแล้ว

กระทั่งที่หวังว่า “กระแสโลก” จะไม่อนุญาตให้ประกาศชัยชนะได้ง่ายๆ

Advertisement

แต่นับวันจะเห็นสัญญาณว่าความคิดเช่นนั้นเป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

สหรัฐอเมริกาประเทศที่เชื่อมั่นเหลือเกินว่าจะไม่ยอมให้ประเทศในโลกก้าวไปในหนทางที่ไม่ “เสรีนิยม” อันมี “ประชาธิปไตย” หรือ “สิทธิที่เท่าเทียมกันของประชาชนทุกคน” เป็นตัวชี้วัด วันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว

หลังเปลี่ยนประธานาธิบดีมาเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” ทิศทางของท่าทีสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนเป็นพร้อมที่จะยอมรับนับถือ มีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับประเทศไหนก็ได้ หากเห็นว่าอเมริกาจะได้ประโยชน์จากสัมพันธ์นั้น ความเป็น “มหาอำนาจ” มีไว้สำหรับแสดงอาการบาทใหญ่กับประเทศที่คอยแต่จะหยิบฉวยผลประโยชน์เอาจากความสัมพันธ์กับอเมริกา

อเมริกาวันนี้ถูกนำไปในทางที่เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าล้วนๆ ไม่ใช่เข้ามาชี้นำการเมืองให้อยู่ในกรอบของ “เสรีนิยม” เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

ส่วน “มหาอำนาจ” อีกฟากคือ “จีน” นั้นไม่ต้องพูดถึง ภารกิจของผู้บริหารประเทศที่ต้องดูแลประชากรกว่าพันล้านคนให้อยู่ดีกินดีอย่างทั่วถึง ทำให้ผู้บริหารประเทศคิดเรื่องอื่นไม่ได้เลย นอกจากทำอย่างไร “จีน” จะหาประโยชน์จากประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลกไปใช้ดูแลประชาชนของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แรงกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่จะหวังให้ “ผู้นำประเทศต่างๆ” จะต้องกังวลอะไรอีกต่อไป

และหากหวังว่าการใช้อำนาจเด็ดขาด ซึ่งจะทำให้ “นักสิทธิมนุษยชน” ทั้งหลายกดดันโลกให้ต่อต้าน

ฟิลิปปินส์พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ประธานาธิบดีดูแตร์เต ที่ใช้อำนาจอย่างบ้าระห่ำ แถมพร้อมที่จะด่ากราดทุกคนที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ยกเว้นแม้แต่ “มหาอำนาจ” อย่าง “สหรัฐอเมริกา” ถึงวันนี้กลับกลายเป็นผู้นำประเทศที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติอย่างสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์เติบโตมากมาย กลายเป็นประเทศที่แนวโน้มความเป็นอยู่ของประชาชนดีที่สุดในกลุ่มพัฒนาระดับเดียวกัน

เหมือนกับว่ากระแสโลกไม่ได้มีบทบาทอะไรอีกแล้วสำหรับความเป็นไปหลักในประเทศต่างๆ

“นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” ไม่จำเป็นต้องมีความกังวลอะไร สามารถบริหารชัยชนะให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากขึ้นได้เต็มที่

แต่อย่างที่บอก มันแค่เป็นเรื่องที่ดูเหมือนว่า “จบแล้ว”

เพียงทว่าที่ “จบแล้ว” นั้นเป็นแรงกระแสกดดันทางการเมือง

ยังมีอีกกระแสหนึ่งที่ไม่ยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งหลุดไปจากช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ของมหาอำนาจ

“อำนาจที่แข็งกร้าว” จะใช้กับประชาชนของประเทศตัวเองไม่มีปัญหา

แต่หากใช้เพื่อขัดขวางการแสวงผลประโยชน์ของมหาอำนาจ

นั่นคือเหตุแห่ง “โกลาหล” อย่างใหม่

………………

 

สุชาติ ศรีสุวรรณ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image