ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ไม่ว่าเส้นทางของร่าง พ.ร.บ.บัตรทองอันอยู่ในขั้นตอน “ประชาพิจารณ์” จะดำเนินไปอย่างไร แต่ “รอยร้าว” อันดำรงอยู่ระหว่าง “กระทรวง” กับ “เอ็นจีโอ” กำลังฝังลึก
ไม่เพียงเพราะการระบุว่ามี “การเมือง” อยู่เบื้องหลัง
หากที่เปราะบางและทรงความหมายเป็นอย่างยิ่ง คือ การใช้กลยุทธ์ “ปฏิบัติการการข่าว” อันเป็นความจัดเจนในแบบ “ทหาร”
อย่างเช่น การจับ “ใจความ” จากที่ประชุม ครม. “คลาดเคลื่อน”
“จนทำให้เหมือนจะออกมาจากปาก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร และท่านก็คงจะได้รับผลกระทบถูกกดดันพอสมควรจึงขออภัยที่ทำให้ได้รับผลกระทบด้วย”
แต่ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะจบลงโดยง่าย
“การออกมาพูดว่ารับเงินส่วนลดการซื้อยาถือเป็นการกล่าวหา อยากถามว่าคนระดับโฆษกรัฐบาลจะจับประเด็นผิดจริงหรือไม่ หรือมีใครพูดจริงแต่ไม่ยอมรับ”
นั่นเป็น “บทสรุป” จากด้านของ “เอ็นจีโอ”
ความจริง มุมมองที่แตกต่างกันในรายละเอียดของ “หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ดำรงอยู่ตั้งแต่เมื่อแรกที่เริ่มโครงการ “30 บาท รักษาทุกโรค” มาแล้ว
เพียงแต่ปะทุขึ้นตอนท้ายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
และประเด็นนี้ถูกนำเข้าไปเป็นปัญหา 1 ในการเคลื่อนไหวในช่วงแห่ง “ชัตดาวน์” กระทั่งคนนำการเคลื่อนไหวได้รับรางวัลเป็น “นกหวีดทองคำ”
พลันที่เกิด “รัฐประหาร” ปัญหา “บัตรทอง” ก็กลายเป็น “วาระ”
ดูเผินๆ เหมือนกับจะสะท้อนความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต้องการปรับเปลี่ยนกับฝ่ายที่มีบทบาทในการนำเสนอและผลักดันตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
แต่ยิ่งเคลื่อนไหว กลับบานปลาย
บานปลายเพราะว่าฝ่ายของพรรคเพื่อไทยอันต่อเนื่องมาจากพรรคพลังประชาชน พรรคไทยรักไทยไม่สามารถขยับ ขับเคลื่อนอะไรได้ ความรับผิดชอบจึงกลายเป็นของ “เอ็นจีโอ”
ตรงนี้เองที่ “เอ็นจีโอ” ตกเป็น “เป้าหมาย”
ปฏิบัติการแปรเปลี่ยนหลักการดำรงอยู่ในกระบวนการ “บัตรทอง” อาจปรากฏตั้งแต่ปลายปี 2556 และเริ่มมีฤทธิ์มีเดชภายหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
แต่ในเบื้องต้นอาจทำได้ไม่เต็มที่
ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจาก นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน มาเป็น นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ในเดือนสิงหาคม 2558 นั่นแหละที่ถือได้ว่าเป็น “ดีเดย์”
บรรดา “เอ็นจีโอ” ที่เคยสงบจึงเริ่ม “ตระหนัก”
ปฏิกิริยาอันมาจาก นพ.มงคล ณ สงขลา ที่แสดงความรู้สึกผิดหวังต่อการเข้าร่วมการชุมนุมก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณ
สัญญาณนี้ดูเหมือนทางด้าน คสช.และรัฐบาลจะยังดูเบา
ไม่เพียงแต่จะดูเบา หากแต่ยังประเมินว่าอาศัยความจัดเจนที่เคย “ปฏิบัติการด้านการข่าว” เพื่อสยบคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะเรียบร้อย
ดังที่สรุปว่ามี “การเมือง” อยู่เบื้องหลังการล้ม “ประชาพิจารณ์” ดังที่มีการจับประเด็นที่ผิดพลาด “เมื่อ สปสช.ซื้อยาที่ได้ลดราคาแล้วจะนำเงินไปสนับสนุนงานของเอ็นจีโอ”
ผลก็คือ สร้างความขัดเคืองให้กับ “เอ็นจีโอ” อย่างรุนแรง ล้ำลึก
นับแต่มีการ “ประชาพิจารณ์” นับแต่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะดึงงบประมาณจาก สปสช.ไปอยู่ในมือของกระทรวงสาธารณสุขความขัดแย้งในกรณี “บัตรทอง” ก็ไม่เหมือนเดิม
ไม่เหมือนเดิมเพราะความพยายามของ คสช.และของรัฐบาลที่ต้องการจะทำลายโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กลับไม่เป็นไปตามความต้องการ
โครงการนี้กลับยืนยันความเป็น “สมบัติร่วม” ของประชาชนอย่างเด่นชัด