วันก่อนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ปรารภถึงการเลือกตั้งว่า หลังจากพระราชพิธีสำคัญของชาติไปแล้ว (คือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร) น่าจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นก่อน
การปรารภของผู้นำประเทศเรื่องการเมืองการเลือกตั้ง เป็นสัญญาณที่ดีในบรรยาการที่เริ่มคลี่คลายจากเผด็จการไปเป็นประชาธิปไตย หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง พรรคการเมือง ระบบการเลือกตั้ง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทยอยประกาศใช้
การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีช่องทางมาหลายช่องทาง ซึ่งทุกช่องทางมีกำหนดให้ผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง “โดยตรงและลับ”
ส่วนการจะได้มาซึ่งตัวผู้แทนราษฎรวันนี้ เป็นเรื่องที่สมาชิกสภานิติบัญญัติ (จากการแต่งตั้ง) กำหนดออกเป็นร่างพระราชบัญญัติ หรือกฎหมาย ว่าจะมีวิธีการอย่างไร
ประการสำคัญของประชาธิปไตย แม้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ฯลฯ
เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จึงเป็นเรื่องที่ปวงชนชาวไทยคือผู้ที่กำหนดการปกครองด้วยตัวเองตามอำนาจที่มี
ประเทศในระบอบประชาธิปไตย การปกครองประกอบด้วย อำนาจนิติบัญญัติ คืออำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อำนาจบริหาร คืออำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ที่นำภาษีของประชาชนมาใช้บริหาร และอำนาจตุลาการ คือการตัดสินอรรถคดีตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ออก และผู้บริหารคือผู้บังคับใช้กับประชาชนให้เป็นไปตามบทบัญญัตินั้น หากไม่กระทำตามต้องส่งให้ฝ่ายตุลาการพิจารณาพิพากษาให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ
หมุนเวียนอย่างนี้ โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน การได้มาซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ระบบการเลือกตั้งของประชาชนมีหลายวิธี ที่สำคัญคือประชาชนทุกคนที่มีคุณสมบัติตามกฎหมายบัญญัติจะมีเสียงเท่ากันคือ 1 คน ต่อ 1 เสียง
ผลการเลือกตั้งคือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องได้รับคะแนนเสียงข้างมาก จึงได้รับเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนของประชาชนที่จะไปบัญญัติกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย และยกเลิกกฎหมาย
ส่วนผู้บริหาร เกิดขึ้นได้จากสองสามกรณี คือเกิดจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมตัวกันเป็นเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โดยผู้นำรัฐบาล คือนายกรัฐมนตรีอาจได้มาจากการเลือกของผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก
ส่วนอีกระบบหนึ่ง คือการเลือกตั้งผู้นำเป็นประธานาธิบดีโดยตรง ด้วยเสียงข้างมากเช่นกัน
ด้วยเหตุที่ต้องใช้เสียงข้างมากหาผู้นำประเทศ จึงเกิดการรวมตัวของผู้ได้รับเลือกตั้งจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งควรเป็นอิสระ ใครจะเป็นสมาชิกพรรคไหน ใครจะเข้าจะออกอย่างไรควรเป็นอิสระ
แต่เพราะไม่ว่าผู้เลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ฝักใฝ่ในการเมือง ยังเป็นปุถุชนมีรัก โลภ โกรธ หลงทั้งสิ้น ดังนั้น รัฐจึงพยายามกำหนดกฎเกณฑ์ให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐบาล ที่เป็นคนดีและมีธรรมาภิบาล เหมือนดั่งใจคิด เหมือนดั่งใจหวัง
ลงเรือแป๊ะลองตามใจแป๊ะสักครั้ง ส่วนจะได้ตามใจแป๊ะหรือไม่ เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของแป๊ะ