ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
พระราชกำหนดว่าด้วยแรงงานต่างด้าวที่แปรเป็นพระราชบัญญัติเรียบร้อยไปแล้วกำลังสร้างปรากฏการณ์อันเหลือเชื่อในทางการเมือง นั่นก็คือ ฉันทามติ “ร่วม”
มิได้เป็นฉันทามติร่วมระหว่างรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานกับแรงงาน “ต่างด้าว”มิได้เป็นฉันทามติร่วมระหว่างรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานกับ 1 ผู้ประกอบการ และ 1 นักวิชาการซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในกระบวนการแรงงาน
หากแต่เป็นระหว่าง “ผู้ประกอบการ” กับนักวิชาการทางด้าน “แรงงาน”
หากใครอ่านการแถลงจากสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าอุตสาหกรรมไทยอันเป็นตัวแทน 9 องค์กรภาคีเครือข่ายนายจ้าง
และติดตามการจัดอภิปรายในทางวิชาการนับแต่ปรากฏกฎหมาย “แรงงานต่างด้าว” ออกมา
ก็ประจักษ์ในบทสรุปอันจะกลายเป็นฉันทามติ “ร่วม” ระหว่าง นายจ้าง แรงงานและนักวิชาการแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
หากกล่าวตามสำนวนอันสอดคล้องกับยุคสมัยแห่งการปรองดอง สมานฉันท์ กฎหมายว่าด้วยแรงงานต่างด้าวจึงกลายเป็นพลังอันทรงความหมาย
เพียงแต่มิได้เป็นไปตาม “จุด” ที่รัฐบาลต้องการ
ตรงกันข้าม นายจ้าง แรงงานไทย และนักวิชาการทางด้านแรงงาน ต่างมีความเห็นไปในทางตรงกันข้ามกับรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงแรงงาน
นั่นก็คือ องค์กร “นายจ้าง” ต้องการให้แก้ไขกฎหมาย
ไม่ว่าจะในเรื่องประเด็นของค่าปรับ ไม่ว่าจะในประเด็นว่าด้วยอาชีพสงวน ไม่ว่าจะในประเด็นในการกำหนดลักษณะความผิดและบทลงโทษที่เป็นคดีอาญา
ทางด้าน “วิชาการ” อาจไม่รุกคืบถึงขนาดนั้น
กระนั้น หากสดับรับฟังข้อสังเกตของนักวิชาการ ไม่ว่าจะมาจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ไม่ว่าจะมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล้วนมีความเห็นตรงกันว่าไม่ว่าจะมองผ่านพระราชกำหนด ไม่ว่าจะมองผ่านพระราชบัญญัติ
ล้วนคาดหมายว่าไม่เพียงไม่สามารถแก้ปัญหา แต่อาจสร้างปัญหาใหม่
สิ่งที่หลายคนรอคอยก็คือ หากเมื่อใดที่คำสั่งหัวหน้า คสช.อาศัยอำนาจของมาตรา 44 หมดบทบาท นั่นแหละคือจุดเริ่มของปัญหา
ถามว่าปัญหาสะท้อนอะไร
สะท้อนไม่เพียงแต่ในจุดที่กระทรวงแรงงานขาดความเข้าใจต่อปัญหาและความเป็นจริงของแรงงานต่างด้าวอย่างเพียงพอ
หากแม้กระทั่ง “สนช.” เองก็เช่นเดียวกัน
การผ่านพระราชกำหนดเป็นพระราชบัญญัติ อาจเพื่อต้องการยืนยันในเจตจำนงที่ต้องการจะแก้ไขปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์
แต่เท่ากับมองข้าม “ปม” และประเด็นอันวางเอาไว้
ปฏิกิริยาของแรงงานไม่ว่าจะเป็นพม่า ไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นลาว เป็นปฏิกิริยาอย่างเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นหลังประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 แต่รุนแรงมากกว่า
หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อาจเป็นแรงสะเทือนจาก “ข่าวลือ” และความเข้าใจผิด แต่หลังตราพระราชกำหนด และหลังยกระดับพระราชกำหนดขึ้นเป็นพระราชบัญญัติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของจริง
มีจุดต่างอย่างแน่นอนระหว่างลักษณะของ “การยืนหยัด” กับลักษณะของ “ความดื้อรั้น” เป็นจุดต่างซึ่งมีเส้นบางๆ คั่นอยู่
หากขาดความเข้าใจอย่างเพียงพอ
การยืนหยัดก็อาจกลายเป็นความดื้อรั้น และความดื้อรั้นนั้นเองก็จะถูกแปรเป็นปัจจัยในการเพิ่มและขยายปัญหา
แทนที่จะจบ กลับไม่จบ