ผู้เขียน | วิชัย เทียนถาวร |
---|
โรคที่ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลหรือคลินิกบ่อยๆ คือ “อาหารไม่ย่อย” (Dyspepsia) กับ “โรคกระเพาะอาหารอักเสบ” โรคนี้แม้มีส่วนคล้ายคลึงกันมากๆ แต่ก็มีส่วนต่างที่อธิบายได้ กล่าวคือ
“อาหารไม่ย่อย” เป็นอาการที่รู้สึกไม่สบายท้องตรงบริเวณยอดอก หรือใต้ลิ้นปี่ ที่เกิดขึ้นระหว่างหรือหลังกินอาหาร โดยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ หรืออาเจียนเล็กน้อย เป็นต้น อาการจะเป็นเฉพาะบริเวณระดับเหนือสะดือจะไม่มีอาการปวดท้องในส่วนใต้สะดือ และไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายร่วม อาการนี้พบได้เกือบทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางรายเป็นครั้งคราว บางรายอาจเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง อาจมีสาเหตุได้หลากหลาย ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงโรครุนแรง หรือร้ายแรง
สาเหตุของ “อาหารไม่ย่อย” มิได้หมายถึงโรคจำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่งจึงอาจมีสาเหตุต่างๆ ประมาณ 8 กลุ่ม ได้แก่ 1.สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด (ประมาณร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย) ก็คืออาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล (Non-ulcer dyspepsia) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการหลั่งกรดในกระเพาะมาก หรืออาจสัมพันธ์กับความเครียดทางจิตใจ หรืออาหาร (เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารย่อยยาก) หรืออาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ เป็นต้น
2.โรคกระเพาะหรือแผลเพ็ปติก กระเพาะอาหารอักเสบ 3.ภาวะมีกรดไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหาร ขึ้นไปหลอดอาหาร (Gastroesophageal reflux) ทำให้มีอาการเรอเปรี้ยว หรือแสบลิ้นปี่ขึ้นมาถึงลำคอ มักเป็นเวลาอยู่ในท่าราบ หรือก้มตัว อาจมีสาเหตุจากการกินอาหารมากเกิน มีกรดออกมา ความอ้วน ภาวะการตั้งครรภ์ การรัดเข็มขัดแน่นเกิน การสูบบุหรี่จัด การใช้ยา (เช่น ยาแอนติสปาสโมดิก ยาต้านแคลเซียม) ไส้เลื่อนที่กระบังลม (Hiatal Hernia) เป็นต้น 4.เกิดจากยา (เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาเม็ดโพแทสเซียมคลอไรด์ เตตรา
ไซคลิน อิริโทรไมซิน เฟอร์รัสซัลเฟต ทีโอฟิลลิน เป็นต้น) รวมทั้งแอลกอฮอล์ (เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์) กาแฟและเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีน
5.โรคของตับ ถุงน้ำดีและตับอ่อน เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง นิ่วน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง 6.มะเร็ง เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับ เป็นต้น 7.กระเพราะอาหารขับเคลื่อนตัวช้า ทำให้อาหารตกค้างในกระเพาะอาหารอยู่นาน เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน (ที่ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม) มีแผลหรือเนื้องอกในกระเพาะอาหาร เป็นต้น 8.อื่นๆ เช่น โรคกังวล กลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
อาการ : มีอาการปวดหรือไม่สบายท้อง ตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ ลักษณะจุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ หรืออาเจียนเล็กน้อย อาการอาจมีเพียงอย่างเดียวหรือหลายอย่างร่วมกัน โดยเกิดขึ้นระหว่างกินข้าวหรือหลังกินข้าว บางรายมีประวัติกินยา ดื่มเหล้า ดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน หรือมีความเครียด วิตกกังวลนอนไม่หลับ ⦁ในบางรายมีภาวะกรดไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหารขึ้นไปที่หลอดอาหาร จะมีอาการเรอเปรี้ยว หรือแสบลิ้นปี่ขึ้นมาถึงลำคอ เป็นมากเวลานอนราบ หรือก้มตัว ซึ่งอาจพบในคนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือมีประวัติกินยา ⦁ในผู้ป่วยแผลเพ็ปติก มักมีอาการแสบท้องเวลาหิวหรือหิวก่อนเวลาหรือปวดท้องตอนดึก และทุเลาเมื่อกินยาลดกรด กินนมหรืออาหาร มักมีอาการเป็นๆ หายๆ บ่อย ⦁ในรายที่เป็นโรคตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน มะเร็งในช่องท้อง มักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ดีซ่าน หรือถ่ายดำ ⦁ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด จะมีอาการจุกแน่นยอดอกและปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ขากรรไกร หัวไหล่ พบในคนอายุ 40-50 ปีขึ้นไป อาจมีประวัติสูบบุหรี่ เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง
สิ่งตรวจพบ : ควรทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนที่จะวินิจฉัยว่าเป็นเพียงอาหารไม่ย่อย ชนิดไม่มีแผล อาจจะทำให้หลงทาง วินิจฉัยผิดไปได้ ⦁ถ้าเป็นโรคตับหรือถุงน้ำดี อาจมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม ⦁ถ้าเป็นมะเร็งอาจคลำได้ตับโต หรือมีก้อนในท้อง หรือมีภาวะซีด ⦁ผู้ที่เป็นอาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล มักจะตรวจไม่พบอะไรนอกจาก “มีอาการท้องอืด เคาะท้องเกิดเสียงโปร่งของลมในท้อง”
การรักษา : มีหลักการ 3 ประการคือ 1.ถ้ามีอาการจุกเสียดท้อง แน่นท้อง เฉพาะเวลาหลังอาหาร ให้ยาลดกรด วันละ 4 ครั้ง หรือเวลามีอาการถ้าจุกแน่นท้องมากเป็นเวลานานหรือคลื่นไส้อาเจียน ให้เมโทโคลพราไมด์ก่อนอาหาร 3 มื้อ ถ้ามีลมในท้องหรือเรอให้ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือยาลดกรด ที่มีไซเมทิโคนผสมในเด็กเล็กให้กินไซเมทิโคนหยด (0.3-0.6 มิลลิกรัม) ผสมน้ำ 2-4 ออนซ์ถ้วย หรือใช้ทิงเจอร์มหาหิงค์ทาหน้าท้อง
ถ้ามีความเครียด วิตกกังวลหรือนอนไม่หลับให้ไดอะซิแพม ถ้าดีขึ้นกินยาต่อประมาณ 2-4 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ 2.ถ้ามีอาการแสบท้อง เวลาหิวตอนดึก เรอเปรี้ยวหรือประวัติกินยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือดื่มเหล้า ให้ยาลดกรดร่วมกับยาลดกรดไซเมทิดีนไนท์ 2 สัปดาห์ ถ้าดีขึ้นควรให้กินยานาน 6-8 สัปดาห์ (เพื่อครอบคลุมโรคเพ็ปติก ที่อาจเป็นสาเหตุของอาหารไม่ย่อยได้)
3.ผู้ป่วยที่มีอาการ อาหารไม่ย่อยทุกลักษณะ ถ้ามีอาการกำเริบซ้ำหรือใช้ยา 2 สัปดาห์แล้ว ยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการเบื่ออาหาร กลืนลำบาก น้ำหนักลด ซีด ตาเหลือง ตับโต ม้ามโต คลำได้ก้อนในท้อง อาเจียนรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ หรือปวดท้องจนตื่นจากหลับ หรือสงสัยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด (มีอาการจุกแน่น ปวดร้าวขึ้นคอ ขากรรไกร ไหล่ ในคนอายุ 40-50 ปี) ควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องทำการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ อัลตราซาวน์ ตรวจคลื่นหัวใจ เอกซเรย์กระเพาะ ลำไส้ โดยการกลืนแป้งแบเรียม (barium meal-upper GI study)ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (colonoscope)เป็นต้น แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ข้อแนะนำ : 1.ก่อนจะวินิจฉัยอาการจุกแน่นตรงลิ้นปี่เป็นเพียงอาหารไม่ย่อยชนิดไม่มีแผล หรือโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติก ควรชักถามอาการและตรวจดูอาการอย่างละเอียด เพราะมีโรคหลายอย่างที่อาจมีอาการคล้ายกับโรคทั้ง 2 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 40-50 ขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่ ชัก หรือเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ควรนึกถึง…โรคหัวใจขาดเลือดไว้เสมอ 2.ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย 2.1 งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน ช็อกโกแลต น้ำอัดลม และหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน ยาต้นการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาแอนติสปาสโมดิกทีโอฟิลลีน เป็นต้น 2.2 กินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ อย่ากินอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารมัน ของดองหรืออาหารสุกๆ ดิบๆ หรือย่อยยาก ควรกินอาหารเย็นก่อนเวลาเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมงขึ้นไป 2.3 ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่ารีบเร่ง อย่ากินจนอิ่มมากเกินไป 2.4 หลังกินอาหารอิ่มอย่าล้มตัวลงนอน หรืออยู่ในท่าก้มงอตัวและอย่ารัดเข็มขัดแน่น 2.5 ถ้าน้ำหนักมากควรลดน้ำหนัก
2.6 ถ้าเครียดควรออกกำลังกายเป็นประจำ หรือหาวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น สวดมนต์ ไหว้พระ ทำสมาธิ ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ หรือดูภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ ทำงานอดิเรก หาความบันเทิงใจ…
โรคที่สองเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันได้แบ่งกระเพาะอาหารอักเสบเป็น ชนิดเยื่อบุกร่อน (erosive gastritis) โรคนี้พบได้ในคนทั่วไป พบมากในคนที่กินยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยาแก้ปวดข้อ) ดื่มเหล้า
สาเหตุ : 1.กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน เยื่อบุกระเพาะอาหารจะมีลักษณะแดง และกร่อนเป็นแผลตื้นๆ หลายแห่ง อาจมีภาวะเลือดออกจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเลือดออก (Hemorrhagic gastritis) มักมีสาเหตุจาก
⦁ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแอสไพรินและยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ⦁แอลกอฮอล์ (เหล้า) ⦁ภาวะร่างกายเครียดเฉียบพลัน เช่น ไฟไหม้น้ำร้อนลวกรุนแรง บาดเจ็บรุนแรง การผ่าตัด ภาวะช็อก ภาวะไตวาย ภาวะตับวาย เป็นต้น ⦁พบร่วมกับโรคตับแข็งที่มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง (Portal hypertension)
2.กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ วินิจฉัยจากการตัดเนื้อออกพิสูจน์ (biopsy)
3.กระเพาะอาหารอักเสบชนิดจำเพาะ พบร่วมกับโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อรา หรือเชื้อไวรัส เชื้อวัณโรค ซิฟิลิส พยาธิ หรือสารเคมี เป็นต้น
อาการ : จะมีปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
ในรายที่เป็นชนิดเยื่อบุกร่อน อาจจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ โดยจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ มักมีประวัติกินยาหรือดื่มเหล้า หรือมีภาวะเครียดก่อนมีเลือดออก บางรายอาจไม่มีอาการแสดงจนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก โลหิตจาง แล้วจึงตรวจพบจากการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร
อาการแทรกซ้อน : ประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกร่วมด้วย และเลือดมักจะหยุดออกได้เอง มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกมากจนต้องให้เลือด ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจเป็นแผลเพ็ปติก หรือมะเร็งกระเพาะอาหารได้
การรักษา : 1.ถ้ามีอาการจุกเสียดแน่นท้อง แบบอาหารไม่ย่อย ให้ยาลดกรด ถ้าจุกแน่นมาหรือคลื่นไส้อาเจียนให้เมโทโคลพาไมด์ ร่วมด้วย 2.ถ้ามีอาการแสบท้อง หรือปวดท้องตอนดึก หรือมีประวัติกินยาแอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ได้ยาลดกรดร่วมกับยาสร้างกรดไซเมทิดีนนาน 2 สัปดาห์ ถ้าดีขึ้นให้กินต่อจนครบ 6-8 สัปดาห์ (รักษาแผลโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติก)
3.ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง (หากมีอาการหน้ามืด เป็นลม หรือช็อก ควรส่งโรงพยาบาลทันที) ถ้าเสียเลือดมากต้องรีบให้การรักษาในโรงพยาบาล อาจต้องให้เลือดหรือทำการสวนล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเย็นและอาจตรวจหาสาเหตุโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร เอกซเรย์กระเพาะอาหาร โดยการกลืนแป้งแบเรียม แล้วให้การรักษาตามสาเหตุ เช่นถ้าพบเป็นแผลเพ็ปติกก็ให้การรักษาแบบเพ็ปติก ถ้าเป็นกระเพาะอาหารอักเสบก็ให้ยาลดการสร้างกรด เช่น ไซเมทิดีน 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับยาปกป้องเคลือบกระเพาะ เช่น ซูคราลเฟต (Sucralfate) 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 2-4 สัปดาห์ถ้ามีภาวะซีดให้ยาบำรุงโลหิต ผู้ป่วยต้องงดเหล้าและยาที่อาจทำให้กระเพาะอักเสบ
4.ในรายกินยาแล้วไม่ดีขึ้นหรือเป็นเรื้อรัง หรือน้ำหนักลด ควรแนะนำไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยส่องกล้องตรวจกระเพาะ ลำไส้ ตัดเนื้อเยื่อบุกระเพาะออกพิสูจน์แล้วรักษาตามสาเหตุ
ข้อแนะนำ : ⦁ผู้ป่วยควรงดบุหรี่ เหล้า กาแฟหรือเครื่องดื่มกาเฟอีน น้ำอัดลม หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ งดอาหารลดเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ⦁สำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ อาจจะต้องใช้ยาป้องกัน เช่น อรัมมิลล์ร่วมด้วย และแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตสีของอุจจาระเป็นประจำ ถ้ามีถ่ายสีดำให้รีบกลับไปพบแพทย์ หรือไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้อันตรายอาจช็อก และต้องให้เลือด และเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน
โดยสรุปว่าผู้ใดมีอาการของอาหารไม่ย่อย หลังกินอาหารหรือขณะกินอาหารให้คำนึงถึงโรคอื่นๆ เช่น โรคตับ ตับอ่อน มะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเครียด โรคจากการใช้ยา ดื่มเหล้า ต่างกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จะมีพยาธิสภาพที่กระเพาะอาหารโดยตรง มักจะเกิดจากการใช้ยา หรือดื่มเหล้าเป็นส่วนใหญ่ อาการตอนแรกคล้ายๆ กัน รักษาโรคด้วยการทานยา และรักษาตามอาการอื่นๆ ผู้เขียนขอแนะนำให้ทุกท่านหากกินยาเบื้องต้นตามแพทย์สั่ง 5-7 วันแล้วไม่ดีขึ้น หรือเป็นแล้วเป็นอีก เรื้อรัง ควรต้องไปพบแพทย์อีกครั้ง เพื่อตรวจโดยละเอียด วิเคราะห์โรคให้ตรงกับสาเหตุ จะได้รักษาให้ถูกทาง
ไม่เป็นกระทงหลงทางเพราะไม่แล้วอาจจะพลาดได้มารู้ทีหลังว่าเป็น “มะเร็ง” ก็จะสายเกินแก้ไข ก็จะเสียใจได้ในภายหลังนะครับ
นพ.วิชัย เทียนถาวร