สกู๊ปข่าวหน้า 1 : “ไชยชนก ชิดชอบ” ส่อง “เนวิน-บุรีรัมย์”

เมื่อกล่าวถึง “ไชยชนก ชิดชอบ” วันนี้ในวัย 30 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของพ่อในการบริหารสโมสรทีมฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมทั้งสนามแข่งรถ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ชื่อของ “ไชยชนก” อาจจะไม่กระหึ่มเท่ากับชื่อของพ่อ แต่ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง ของการพูดคุยกัน ลูกชายคนนี้กลับเล่าถึงผู้เป็นพ่ออย่างมีชีวิตชีวาที่สุด หลายคนไม่เคยได้ยินมาก่อน

ปัจจุบัน “ไชยชนก” เป็นรองผู้อำนวยการสายงานการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ย้อนไปเมื่อปี 2558 ลูกชายของเนวินคนนี้ตัดสินใจสมัครเป็นทหารกองประจำการ ไม่ต้องเสียเวลาจับใบดำใบแดงใดๆ และเมื่อย้อนขึ้นหน้าไปอีก ไชยชนกไปใช้ชีวิตและเรียนที่อังกฤษนานถึง 17 ปี

“ไชยชนก” กล่าวว่า “ผมไปเรียนที่อังกฤษรวม 17 ปี พ่อส่งเรียนตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ป.2 ที่โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ตอนแรกจะไปอังกฤษ ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย รู้แค่ศัพท์ที่มีตัวอักษรหนังสือไม่เกิน 3 ตัว เช่น yes กับ no แต่เป็นเรื่องโชคดีที่พ่อส่งผมไปเรียนตั้งแต่เด็ก ผมไม่ติดเรื่องแอคเซ่นท์ (การออกเสียง) ไปด้วย ตอนแรกตื่นเต้นแต่แอบน้อยใจ”

Advertisement

“หลายคนถามว่าทำไมไปอังกฤษตอนเด็กจังพ่อส่งไปได้ยังไง หรือว่าพ่อไม่รักเรา มารู้ทีหลังว่าพ่อแอบร้องไห้คิดถึงลูก แกเข้มแข็งมาก ผมตัวกระเปี๊ยกเดียวส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่อังกฤษ ไปคนเดียว พ่อจะส่งแค่ที่สนามบิน ส่งผมปุ๊บหันหลังเลย แล้วเดินออกไปเลย มีคนมาแอบเล่าทีหลังว่าพ่อร้องไห้”

โดยส่วนตัวชอบเล่นฟุตบอลหรือไม่ “ไชยชนก” เล่าว่า ตอนเด็กๆ อยู่เมืองไทยเล่นกับเพื่อนผู้หญิง พวกหมากเก็บ กระโดดยาง พอถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ ได้เล่นฟุตบอลตอนอายุ 13 ปี จากนั้นก็เล่นฟุตบอลมาตลอด ก่อนจะเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์การเงินที่มหาวิทยาลัยในลอนดอน แล้วเปลี่ยนไปเรียน โกลบอล ไฟแนนชัวร แมนเนจเม้นท์ จบแล้วกลับเมืองไทย ตอนอายุ 24-25ปี

สายวิชาที่เรียนมา คิดว่าจะมาช่วยพ่อได้หรือไม่ “ไชยชนก” กล่าวว่า ตอนที่เลือกเรียนไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเลย ที่เลือกเรียนเพราะพ่อเลือกให้เรียนมาสายนี้ ก็มองว่าในความที่เรายังไม่แน่ใจอยากทำอะไรบ้าง ตัวนี้น่าจะช่วยได้ทุกอย่าง

Advertisement

ได้ใช้วิชาความรู้จากอังกฤษมาช่วยงานพ่อหรือไม่ “ไชยชนก” กล่าวว่า “มีช่วยบ้าง ตอนนี้มีหลายเรื่องที่จะเอามาใช้ แต่สิ่งที่ได้ใช้แน่ๆ ไม่เกี่ยวกับคอร์สที่เรียน เกี่ยวกับการไปเรียนที่ต่างประเทศ ได้แนวคิดใหม่ๆ มองนอกกรอบแตกต่างจากเด็กเรียนที่เมืองไทย ผมได้มุมมองนี้มากลับมาทำธุรกิจ พอมองนอกกรอบได้ มันก็เปิดทางเลือกทางเดินให้เราได้เยอะขึ้น”

“ไชยชนก” เล่าต่อว่า “ตอนจบมา พ่ออยากให้เรียนต่อ บอกว่าจะกลับทำไม บังเอิญช่วงนั้นผมกลับมา เริ่มมีการสร้างสนามแข่งรถแล้ว ผมอยากมีส่วนร่วม เมื่อก่อนสนามเป็นป่าหมดเลย เราเคลียร์พื้นที่ทั้งปรับระดับทุกอย่าง แต่เอาเข้าจริงตอนที่เรียนอังกฤษ มีช่วยเรื่องฟุตบอล ช่วงนั้นเราเป็นพันธมิตรกับเลสเตอร์ส่งเด็กบุรีรัมย์ไปอังกฤษ ผมจะดูทางอังกฤษให้ พอกลับมาเมืองไทย”

“ผมเข้าไปอยู่ในส่วนสนามแข่งรถเต็มตัว เพราะทีมฟุตบอลบุรีรัมย์มีระบบอยู่แล้วตอนนั้น ผมจะดูเรื่องโอเปอเรชั่นอยู่ที่บุรีรัมย์เป็นหลัก ทั้งการจัดการแข่งขัน การสร้างระบบ การหาสปอนเซอร์ การดึงรายการมาแข่ง ตอนช่วงสร้างสนาม ทั้งวิดน้ำ ต่อไฟ ผมทำหมด”

ถามว่า สมัยเรียนที่อังกฤษชอบทีมฟุตบอลไหนมากที่สุด ไชยชนก กล่าวว่า “ตอนไปอังกฤษใหม่ๆ ทีมแรกที่ได้ยินชื่อคือทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมเลยเชียร์แมนฯยู พอมาทำทีมฟุตบอลตัวเอง เชียร์ทีมอื่นลำบากไม่ได้ความรู้สึกเดิม ไม่มันไม่อินเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ผมก็ดูนะแต่ไม่ถึงขั้นเชียร์ ดูเอาความรู้แทน ทั้งเรื่องของแท็กติก การมาร์เก็ตติ้งของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด มีสปอนเซอร์ มุมมองผมมันเปลี่ยนไป ไม่ได้ไปใส่ความรู้สึกเหมือนเชียร์ทีมตัวเอง”

ให้พูดถึงนักเตะต่างชาติที่ชื่นชอบ ไชยชนกกล่าวว่า “มีหลายคนที่ผมชอบ อย่างโรนัลโดกับเมสซี เล่นบอลเก่งมาก แต่ผมมองมากกว่านั้น พวกนี้เก่งโดยธรรมชาติ มีทักษะ แต่ความเป็นจริงต้องมีพรสวรรค์เป็นส่วนประกอบ แต่พรแสวงก็ต้องมากกว่า มีคนไปศึกษาเกี่ยวกับสองคนนี้ ทุ่มเทกับการฝึกซ้อมนอกสนามมากกว่าในสนามไม่รู้กี่เท่า ทุกคนควรเอาเป็นตัวอย่าง”

“ส่วนนักบอลในไทย ผมชอบจักรพันธ์ แก้วพรม (ทีมบุรีรัมย์) อาจจะเป็นเพราะรู้จักส่วนตัว มีความเป็นผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่อายุไม่มาก เล่นบอลฉลาด มีความเร็ว เลี้ยงบอลได้แต่ไม่หวงบอล เป็นตัวอย่างที่ดีของน้องๆ ทั้งในและนอกสนาม การรักษาดูแลสุขภาพก็ดี”

มีโอกาสคุยกับพ่อเรื่องฟุตบอลแค่ไหน โดยเฉพาะทีมบุรีรัมย์ “ไชยชนก” กล่าวว่า ถ้าพูดถึงแนวทางของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชัดเจนแต่แรกแล้ว คุณพ่อมีเจตนาพัฒนาจังหวัด อยากให้คนรู้จักในประเทศ พอมันใหญ่ก็ขยายไปในเอเชีย และทำให้คนรู้จักในระดับโลก มีเป้าหนึ่งที่คุณพ่อพูดไว้ยังไปไม่ถึง คือให้ไปอยู่ในระดับท็อป 5 ของเอเชีย เคยไปถึงท็อป 8 ถือว่าใกล้แต่ไปไม่ถึง

ถามอีกว่า ในฐานะเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ อยากจะช่วยบริหารทีมบุรีรัมย์ให้ไปไกลขนาดไหน “ไชยชนก” กล่าวว่า ตอนนี้แบรนด์ทีมบุรีรัมย์เข้าสู่อินเตอร์ อยากให้เชิงธุรกิจของเราพัฒนาไปได้ร่วมงานกับทีมต่างประเทศมากขึ้น ขยายแบรนด์ออกไปให้มีชื่อเสียง เมื่อก่อนบุรีรัมย์ไม่ใช่เมืองที่ใครมาท่องเที่ยว เพียงแค่ขับผ่าน

“แต่วันนี้เราทำทีมฟุตบอลเข้าปีที่ 8 จากจังหวัดที่จนเป็นอันดับสามของประเทศ กลายเป็นจังหวัดที่น่าท่องเที่ยวอันดับ 3 ของประเทศ มีคนอยากมาเยือน ตอนผมเรียนที่อังกฤษ มีเพื่อนผู้หญิงต่างชาติถามถึงบุรีรัมย์ ไม่ได้ถามว่าอยู่ที่ไหน ถามว่าบุรีรัมย์คืออะไร ผมก็บอกเฮ้ยไม่ใช่แบรนด์กระเป๋านะ บุรีรัมย์พัฒนามาขนาดนี้ เป็นเพราะสิ่งที่เราทำ ถ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้มันก็จะอธิบายความรู้สึกยาก”

“เพื่อนผมเป็นคนสเปนไปดูทีมบาร์ซ่าเจอมิลานที่อิตาลี แล้วถ่ายรูปในสนามมีคนใส่เสื้อทีมบุรีรัมย์ไปเชียร์บาร์ซ่าส่งให้ผมดู เมื่อก่อนเห็นคนในกรุงเทพใส่เสื้อทีมบุรีรัมย์เรารู้สึกตื่นเต้น เดี๋ยวนี้เห็นทั่วกรุงเทพ แล้วไปเห็นคนใส่เสื้อทีมบุรีรัมย์ที่ญี่ปุ่น เราก็ตื่นเต้น ตอนนี้เห็นที่ญี่ปุ่นเยอะมาก ประเทศจีนก็มี แต่พอไปถึงสเปน อิตาลี ไปถึงยุโรป มีความรู้สึกตื้นตัน เห็นอนาคต จะพาเราไปได้ไกลกว่านี้อีก”

อยากให้เล่าบทบาทของคุณพ่อ ที่เคยเป็นนักการเมืองและมาบริหารทีมฟุตบอลอาชีพ “ไชยชนก” ตอบทันทีว่า “ยังไงพ่อก็คือพ่อครับ จะเป็นมุมไหนผมก็รักและสนับสนุนทุกอย่างที่ทำ ผมเห็นความแตกต่างของพ่อตั้งแต่ถอยออกมาจากการเมือง ไม่ว่าเข้าไปเล่นการเมืองเพื่อพัฒนาจังหวัด ทำมาหลายปีไม่ได้ผลที่ต้องการ สิ่งที่ทำให้ผมชอบคือการที่พ่อถอยออกมาจากการเมือง ดูแกมีความสุข”

“ทั้งครอบครัวไม่เครียดเท่าแต่ก่อน โอเคมีเครียดบ้างเรื่องฟุตบอล แต่ก่อนคนจะกลัวพ่อหรือมองซุบซิบนินทา เดี๋ยวนี้ คนเห็นพ่อวิ่งมาขอถ่ายรูปด้วย พ่อมีความสุขมาก โมเดลพ่อไม่เคยทำเพื่อตนเอง เมื่อเราอยู่ไม่ได้แน่นอนมันต้องมีส่วนที่ต้องทำเพื่อตัวเอง พ่อจะแบ่งเป็น 60-40 ตลอด”

คิดจะเล่นการเมืองเหมือนคุณพ่อไหม “ไชยชนก” กล่าวว่า “ไม่ ผมเห็นคุณพ่อทุกข์ขนาดนั้น ผมก็ไม่อยากทุกข์ครับ พ่อพูดกับผมว่า มีคนถามพ่อเยอะมากเรื่องนี้ แกบอกว่าถ้าเอ็งไปตกนรกแล้วอยากให้ลูกไปตกนรกไหม แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรเราไม่ทราบ”

เวลามองเห็นพ่อยืนข้างสนามฟุตบอลให้ความรู้สึกอย่างไร ไชยชนกกล่าวว่า “ตื้นตันไม่ใช่แค่ความสุข ไม่ว่าผมจะเห็นในสนามหรือที่ไหน พ่อเป็นตัวอย่างที่ดีในทุกด้าน เสียสละเพื่อครอบครัว เป็นผู้นำที่หากใครได้รู้จักและสัมผัส จะชื่นชมและอยากตามพ่อ เป็นคนที่ทำอะไรทำจริง ไม่ได้เป็นแค่เจ้านาย เพราะฉะนั้นสำหรับผมที่เดินตามตลอดเวลา ก็เหมือนได้เรียนรู้ตลอดเวลา”

“อย่างเช่นมีโมเมนต์และเยอะขึ้นหลังๆ พ่อมีความสุขกับฟุตบอล เดี๋ยวนี้วัยรุ่นขึ้นมาก วัยรุ่นขึ้นทุกวัน (เน้นเสียง) ไม่ว่าการแต่งตัวของพ่อ การซื้อรองเท้าอวดลูก ล่าสุดผมกับน้องหันหน้ามามองกันและหัวเราะ ตอนนั้นทีมบุรีรัมย์แข่งกับใครไม่แน่ใจ ท่าแด็บ (dab) กำลังฮิต ดิโอโก้ นักเตะบุรีรัมย์ยิงประตูได้แล้ววิ่งมาหาพ่อ สองคนทำท่าแด็บกันข้างสนาม ผมมองโอโห้ ลุงเน ไปไกลมากเลยจุดนี้ ผมเห็นน้องๆหันมามองแล้วบอกว่าพ่อเราหรือเปล่า สุดยอดนึกว่าพี่ชาย เห็นอย่างนี้มีความสุข”

อยากให้พูดถึงพ่อผ่านเสียงบันทึกเทป “ไชยชนก” กล่าวว่า “ผมพูดกับพ่อหมดทุกเรื่อง (หัวเราะ) จะบอกว่า พ่อครับ การเมืองเราเลิกมานานแล้ว เวลาทำธุรกิจไม่ใช่การเมือง (หัวเราะ) เวลาสั่งงานหรือทำอะไรขอให้เป็นทางการกว่านี้ (หัวเราะ) คืออย่างสั่งงานวันนี้ทำเหมือนขอให้เสร็จเมื่อวาน พ่อติดนิสัยคิดเร็วทำเร็ว สมมติสั่งงานวันนี้ก็อยากให้เสร็จพรุ่งนี้เลย จะเป็นอย่างนี้”

“ทุกอย่างต้องมีประสิทธิภาพด้วย ผมมองเป็นเรื่องดี แต่ก็พูดแซวพ่อเล่นๆนะครับ แล้วผมขอฝากอีกอย่าง มอเตอร์ไซด์นี่พ่อก็ขับเหลือเกิน ผมก็เป็นห่วงแต่เป็นความสุขของพ่อ เป็นเวลาเดียวที่พ่อมีความเป็นส่วนตัวไม่คิดอะไร เพราะขับขี่ต้องมีสมาธิ อยากให้เพลาๆบ้าง เป็นห่วง” ไชยชนก กล่าวทิ้งท้าย

เขมินท์ เกื้อกูล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image