⦁…การเมืองค่อยๆ เคลื่อนไปตาม “โครงสร้างอำนาจ” ที่ถูกออกแบบใหม่ที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นสถาปนิกใหญ่ ออกแบบให้เป็นตามความต้องการของ “บูรพาพยัคฆ์” จาก “รัฐธรรมนูญ” มาถึง “กฎหมายประกอบ” ที่เกี่ยวข้อง ท่ามกลางเสียงไม่เห็นด้วย คัดค้านมากมาย แต่การเดินสู่ “รัฐแบบรวมศูนย์อำนาจ” โดย “กลไกราชการ” ควบคุมการบัญชาการเบ็ดเสร็จ ขณะ “สลายแปรรูปพรรคการเมือง” อันเป็น “ตัวแทนอำนาจประชาชน” ให้เป็นเพียงเปลือกติด “โลโก้ประชาธิปไตย” ไว้เป็นเหตุผลอธิบายกับนานาชาติ ดำเนินไปด้วยความเข้มข้น มุ่งมั่น ไม่แม้แต่เหลียวมาเงี่ยหูฟัง “คนที่พยายามแสดงความไม่เห็นด้วย”
⦁…จาก “คณะรัฐมนตรี” ที่เปิดทางให้ “ผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเต็มที่” โดยเฉพาะ “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” มา “รัฐสภา” ที่ “สมาชิกผู้มาจากการแต่งตั้ง” ถูกวางให้ “องอาจในอำนาจ” มากกว่า “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ซ้อนด้วย “คณะจัดทำยุทธศาสตร์” และ “คณะปฏิรูปประเทศ” ที่ชักแถวมาเป็นขบวน ในนาม “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” วันนี้เริ่มลงลึกถึง “องค์กรอิสระ” ที่ให้ความหมายกันว่าทำหน้าที่ควรตรวจสอบ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน” เป็นประติมากรรมล่าสุด ใน “โครงสร้างอำนาจแบบใหม่”
⦁…แม้จะคืบหน้า ครอบคลุมไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่นั่นยังเป็น “โครงสร้างตามกฎหมาย” ยังเหลือขั้นตอนสำคัญคือ “การวางตัวบุคคลเข้าไปในตำแหน่งต่างๆ ตามโครงสร้าง” ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะบอกให้ “พรรคการเมือง” รอก่อน “ไว้ผมสบายใจแล้วผมจะปลดล็อกแล้วกัน” โดยชี้เป้าไปที่ “คดีความต่างๆ ยังไม่จบ ต้องดูแลกันอีก”
⦁…กำลังเป็น “ความผิด” ที่มาแรงแซงทางโค้ง ที่ “นักเคลื่อนไหวทางการเมือง” ต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษ “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116” ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต (1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย (2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี” ตีความกันให้ดีก่อนที่จะ “คิด เขียน พูด” หรือ “เคลื่อน”
⦁…เพราะพื้นฐานของ “กฎหมาย” คือมีขึ้นเพื่อ “รักษาเสรีภาพให้อย่างเท่าเทียม” เพื่อ “คุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคลไม่ให้ผู้ใดมาละเมิด” ดังนั้น ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม “มุ่งตราและบังคับใช้กฎหมาย” เพื่อควบคุมเสรีภาพประชาชน เพื่อ “ขยายอำนาจรัฐ” ไม่แปลกที่จะถูกตีความว่าเป็น “ประเทศอำนาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ”
⦁…สำหรับมุมมองทางเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่กับ “คนมองยืนอยู่ตรงไหน” ในความเป็นจริงที่ข้อมูลผ่านการเปิดของ บรรยง พงษ์พานิช วันก่อน “ปัญหาเศรษฐกิจไทย มีลักษณะแข็งบนอ่อนล่าง คือคนข้างบน แข็งแรง บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดแชมเปญฉลองกัน จากกำไร 21% มูลค่า 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนบริษัทเหล่านั้น คือ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ซึ่งพวกเขาโต 21% ขณะที่เศรษฐกิจทั้งหมด 100% เราโตได้แค่ 3% เท่านั้น ความเหลื่อมล้ำของไทยจึงสูงมาก” ดังนั้น “เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี” อยู่ที่ “คนพูดอยู่ตรงส่วนไหนของความเหลื่อมล้ำ”
⦁…ใครว่า “ทำงานบนเครื่องบินไม่เสี่ยงอันตราย” วันก่อน “การบินไทย” ไป “ซิดนีย์” ระหว่างทาง “ผู้โดยสารชกไฟลต์แมเนเจอร์” เจ็บสาหัส แถมไล่ต่อย “พนักงานบนเครื่อง” จนโกลาหล เพื่อการรักษาความสงบไม่ทำให้ผู้โดยสารอื่นตื่นตระหนก “ทุกคนต้องอดทน” จนเครื่องลงจอด ค่อยให้ “ตำรวจที่ประสานไว้ล่วงหน้า” มาจัดการ งานนี้ อุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการดีดี ได้ใจพนักงานไม่น้อย ด้วยสั่งการให้ “ผู้บริหาร” บินไปดูแลทุกเรื่องราวทันทีที่ได้รับแจ้ง แน่นอนเป็นกรณีตัวอย่างที่ถูกบันทึกไว้ในความเป็น “มืออาชีพ”
ชโลทร