บรรยากาศมาร โดย นฤตย์ เสกธีระ

 

หาก “เทพ” คือความเมตตา เกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฯลฯ และ “มาร” คือความอาฆาตมาดร้าย เข่นฆ่าสังหาร ฯลฯ

วันนี้จะพบว่า หลายคนที่เราเคยมองว่าเป็น “เทพ” ได้แปลงร่างไปเป็น “มาร” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โฟกัสลงไปบนถนนสายการเมือง วิถีแห่งการเอาชนะคะคานในวงการเมืองนั้นจำแนกเป็น 2 แบบ

Advertisement

แบบหนึ่งคือ แข่งกันทำคุณประโยชน์ หมายความว่า เมื่อลงแข่งขันครั้งแรกพบว่าเราแพ้ ก็กลับไปพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งครั้งใหม่

เป้าหมายคือ เอาชนะด้วยสิ่งที่ดีกว่า

ส่วนอีกแบบหนึ่งคือ ดึงคนที่ดีกว่าลงมาตกนรกร่วมกัน ด้วยวิธีการใส่ร้ายป้ายสี ปลุกปั่นยุยง สร้างความวิบัติต่อสังคม

Advertisement

เป้าหมายคือเอาชนะเหมือนกัน แต่เป็นการเอาชนะด้วยวิธีทำลายล้าง

การเมืองประเทศไทยตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา คือตัวอย่างที่ดีของการต่อสู้ทางการเมือง

เริ่มจากนักการเมืองที่ใช้วิธีดึงคู่แข่งที่เก่งกว่าลงมาโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ จากนั้นสื่อมวลชนก็ออกไปร่วมด้วย

แล้วกลายเป็นมวลชนที่ก่อตัวขึ้นมาเพื่อจ้องทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง

ทำลาย ทำลาย ทำลาย

จากนั้นทุกอย่างก็ไปสิ้นสุดที่การรัฐประหาร ซึ่งก็ถือเป็นการทำร้ายประเทศอีกทางหนึ่ง

แม้จังหวะเวลาในปี 2550 และปี 2554 จะเปิดช่องให้การเมืองใช้วิธีการแข่งทำคุณประโยชน์

ใช้นโยบายหาเสียงเพื่อชวนให้ประชาชนเลือก และปฏิบัติตามนโยบายที่หาเสียงกับประชาชนไว้

แต่ในที่สุด การเอาชนะทางการเมืองด้วยวิธีทำลายล้างก็ดูมีอานุภาพมากกว่าการสร้างสรรค์

เกิดมวลชนขึ้นเพื่อทำลายรัฐบาล เกิดกองกำลังขึ้นเพื่อทำลายชีวิต

ในที่สุดทหารออกมาอีก คราวนี้มีคนตาย 99 ศพ

มีการเผาเมือง

นั่นคือเหตุใหญ่กลางเมืองกรุงที่หลายคนเศร้าใจ

แต่อีกหลายคนมองด้วยความสะใจ !

ต่อมามีการใช้มวลชนเป็นกลไกทำลายล้างอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ทำลายพรรคการเมือง

แต่มุ่งไปที่ตระกูล “ชินวัตร” ท่ามกลางเสียงนกหวีดที่ดังจนแสบหู

และดูเหมือนว่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเอาชนะนิยมใช้วิธีการทำลาย

ทำลายกันและกันจนลืมไปว่า ผลจากการทำลายล้างไม่มีใครได้ดี

วันนี้การเมืองยวบยุบ ไร้ประชาธิปไตย ทุกอย่างอยู่ในมือ คสช. จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

เศรษฐกิจยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะอาการทรุดนับตั้งแต่ชัตดาวน์ประเทศ จวบจนวันนี้ยังสาหัส

ส่วนสังคมนั้นอุดมไปด้วยความเกลียดชัง โดยเฉพาะสังคมออนไลน์

และความเกลียดชังก็นำไปสู่การทำลายล้างซ้ำซาก

ยกตัวอย่างกรณี นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก แล้วมีความเคลื่อนไหวกดดันให้หยุดจัดรายการ

การเคลื่อนไหวให้หยุดจัดรายการเป็นเรื่องสมควรสนับสนุน

การตัดสินใจหยุดจัดรายการก็น่าสนับสนุน

แต่สิ่งที่ไม่น่าสนับสนุนคือ ความอาฆาตมาดร้ายที่แฝงมากับจริยธรรม

การจ้องทำลาย “พวกเขา” และการละเลยที่จะดำเนินการกับ “พวกเรา”

กลายเป็นการดำเนินการแบบ 2 มาตรฐาน

บรรยากาศแบบนี้เริ่มต้นในแวดวงการเมือง แล้วแพร่กระจายไปทั่วทุกวงการ

เป็นบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว…

เจือปนกับความอาฆาตมาดร้าย จ้องเข่นฆ่าสังหาร

บัดนี้ ประเทศไทยปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้…บรรยากาศมาร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image