อำนาจ ลาภยศ ดั่งลม…พัดมาแล้วก็พัดไป : โดย ไพรัช วรปาณิ

ใกล้วันเกษียณอายุชีวิตราชการ ในวันที่ 30 กันยายนศกนี้ ยังผลให้เพื่อนข้าราชการหลายคน จำต้องถอด “หัวโขน” พ้นจากอำนาจที่เคยมี ทำให้ผู้เขียนใจหาย เมื่อนึกถึงความโหดร้ายของกาลเวลา จะคร่าสรรพสัตว์ทุกชีวิตในโลกให้ดับสูญไป ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม และเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งในวัฏสงสารให้เกิดดับไปตามกฎแห่งธรรมชาติ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

จึงอดเป็นห่วงคิดถึงมวลมิตรผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยรักใคร่นับถือกันไม่ได้ และอยากฝากข้อคิดถึงกันและกันว่า เมื่อถึงคราจำใจจำจรในสิ่งที่เคยรักเคยหวงแหน ก็คงต้องทำใจยอมรับสภาพความเปลี่ยนแปลง ด้วยสติปัญญา เพราะมันเป็นไปตามกฎระเบียบทางราชการ เหลือไว้แต่ผลงานและชั่ว-ดีประดับไว้ในโลกาเท่านั้น แน่นอนอำนาจ วาสนาที่เคยมีล้นฟ้า ต้องมลายสูญไปในวันนั้น ดั่งสายลมที่พัดมาแล้วก็พัดไป

ผู้เขียนแม้ไม่ได้รับผลใดๆ ในการนี้ แต่ก็พลอยรู้สึกวาบหวิวไปกับเพื่อนข้าราชการหลายท่านด้วย โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจไป และกำลังเผชิญกับวิบากกรรม อย่างไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะมีวันนี้

วันก่อน บังเอิญได้รับบทความจาก “ทวีวัฒน์ แดงทองดี” เพื่อนเก่าสมัยเรียนธรรมศาสตร์อยู่ด้วยกันเมื่อ 40 ปีก่อน เรื่องหนึ่ง อ่านแล้วรู้สึกได้ประโยชน์ทางใจอย่างมาก เพราะมีนัยยะเป็นปรัชญาแห่งพุทธอย่างแท้จริง โปรดได้ติดตามมา

Advertisement

เรื่องมีอยู่ว่า…สมัยพุทธกาล มีคนถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิบัติธรรมแล้วได้อะไร? พระพุทธองค์ตอบว่า “ไม่ได้อะไรเลย” เขาจึงถามต่อว่า ถ้าเช่นนั้นท่านปฏิบัติไปเพื่ออะไร พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า ตถาคตสามารถบอกเธอถึงสิ่งที่หายไป นั่นคือ…

“ความโกรธได้หายไป ความหม่นหมองวิตกกังวลหายไป ความเศร้าท้อแท้หายไป ความกังวลไม่สบายใจหายไป ความเห็นแก่ตัว โลภะ โทสะ โมหะ พิษร้ายทั้งสามก็หายไป อวิชชาคือความไม่รู้ ที่ปิดกั้น ปุถุชนทั้งหลายก็ได้สูญสิ้นไป

ทั้งนี้ พูดเหมือนง่าย แต่เหตุผลนั้นมันลึกซึ้ง เพราะคนทั้งหลายที่มาสู่โลกนี้ มีความสำคัญอันยิ่งใหญ่เพียง 2 เรื่องเท่านั้น คือ เกิดกับตาย เรื่องแรกทำสำเร็จไปแล้ว ส่วนอีกเรื่องนั้น คือ เราจะทุกข์ร้อนไปทำไม? มีวาสนาก็มา ไม่มีวาสนาก็ไป สิ่งใดที่สมควรแก่เหตุก็มาเอง..สิ่งใดที่ไม่สมควรแก่เหตุ จะแสวงหาก็ไม่พบ อ้อนวอนก็ไม่สำเร็จ..มีวาสนาก็ไม่ปฏิเสธ ไร้วาสนาก็ไม่ต้องแสวงหา สิ่งที่เข้ามาหาก็ต้อนรับ สิ่งที่จากไปก็ไม่ต้องอาลัย..ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแต่วาสนา ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น

Advertisement

ดังนั้น ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ย่อมไม่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับปากและตาของผู้อื่น แต่ฝึกให้มองเห็นจิตและใจของตนเอง มีสติ รู้จิต ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่หลอกลวงทั้งหลาย ไม่ดิ้นรนแสวงหา โดยการทำใจให้เป็นอิสระ ปราศจากกิเลสทั้งปวง จะร้อนจะหนาว จะลุกจะนั่ง จิตก็มีสติอยู่เสมอ นี่แหละ..คือการปฏิบัติธรรม

ฉะนั้น เกิดเป็นคน อย่าเป็นคนหลอกลวง ไร้สัจจะ ถ้าเป็นคนหลอกลวงจะไม่สามารถเปิดใจผู้อื่นได้ ความทุกข์ที่สุดของมนุษย์คือใจที่ไร้ที่พึ่ง นั่นเอง”

ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ จิตที่ดีงามย่อมไม่มีเรื่องทุกข์ใจ จิตที่ประเสริฐ ย่อมไม่มีผู้ที่จะต้องเคียดแค้นชิงชัง! จิตที่เรียบง่ายย่อมไม่มีเรื่องว้าวุ่นใจ เป็นคนดี กายใจซื่อตรง ย่อมหลับเป็นสุข ผู้ประกอบกรรมดีฟ้าดินย่อมมองเห็น ผีสางเทวดาย่อมสรรเสริญ

ความสงบที่แท้จริงมิได้เกิดจากการนั่งนิ่งๆ หลายชั่วโมง แต่เกิดจากการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยใจสงบ ได้ยินแม้แต่เสียงดอกไม้บาน นั่งก็เป็นสมาธิ เดินก็เป็นสมาธิ

เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหตุเกิดขึ้นแล้วก็ว่างเปล่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ ได้แต่เพียงเกี่ยวข้องแล้วก็ผ่านไป พวกเราทุกคนเป็นแขก ผู้ผ่านกาลเวลาเท่านั้น ..วันหนึ่งเราก็ต้องบอกลาทุกสิ่งทุกอย่างไป”

หวนนึกถึงเขา “ทวีวัฒน์ แดงทองดี” เมื่อสมัยเป็นหนุ่ม แม้เขาเกิดมาเป็นลูกคนรวย แต่เขากลับเป็นคนติดดิน สุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติเพื่อนฝูงทุกคน อัธยาศัยดีแล้ว ซ้ำเรียนเก่งอีกต่างหาก หลังจบนิติและเนติบัณฑิตไทยเช่นเดียวกัน เราสองต่างก็มุ่งหน้าไปสมัครสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา เพื่อเป็นตุลาการตามแนวทางที่นักกฎหมายทุกคนปรารถนา

และแล้วเขาก็สอบติดได้เป็นผู้พิพากษาสมหวัง (แต่ผู้เขียนสอบตก) ทำให้ชะตาชีวิตเขารุ่งโรจน์ก้าวสู่ตำแหน่งตุลาการอันทรงเกียรติ และสุดท้ายไปเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา จากนั้นก็ยังเป็นผู้พิพากษาอาวุโสต่ออีกจนครบวัย 70 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

ครั้นหมดหน้าที่ราชการแล้ว เขากลับดำรงชีวิต แบบคนสูงวัยที่ใช้วิถีชีวิตเรียบง่าย สมถะแบบชาวบ้านธรรมดาๆ ด้วยการเดินออกกำลังกายชนิดไม่ต้องลงทุนตามสวนสาธารณะ ทำงานซักผ้าถูบ้านออกแรงแทนแม่บ้าน (คนรักเมีย) ใช้ชีวิตไม่ฟุ้งเฟื้อทั้งที่เป็น “เสี่ย” และที่สำคัญ คือไม่หลงยึดติดอยู่กับ “หัวโขน” ที่ถูกลิขิตให้แสดงบนเวทีชีวิต จึงทำให้จิตใจเขาผ่องใสและสุขภาพทั้ง “แข็ง” ทั้งแรง จนถึงปัจจุบัน

ส่วนเพื่อนรักเก่าแก่อีกคนคือ ดร.สมัคร เจียมบุรเศรษฐ์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์และผู้ว่าฯกทม. 2 สมัย คนดังเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ก็ได้ส่งมาอีกเรื่องหนึ่งคือ “อาโนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์” คนซึ่งเคยดังในสังคมมาก่อน เมื่อตกอับ ยังทำใจไม่ได้ โพสต์ภาพตัวเองที่นอนหน้าอนุสาวรีย์เป็นการประชด

พร้อมเขียนข้อความเกี่ยวกับกาลเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างน่าเศร้า ซาบซึ้ง ทำให้คิดถึงความอนิจจังไม่เที่ยงจริงๆ

วันหนึ่งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียได้ทำพิธีเปิดโรงแรมแห่งใหม่ โดยมีอนุสาวรีย์ของอาโนลด์ตั้งอยู่หน้าโรงแรม และทางโรงแรมบอกว่าท่านอาโนลด์จะมาพักเมื่อใดก็ได้ แต่มาวันหนึ่งพอเขาไปขอเช็กอิน ปรากฏว่าผู้บริหารโรงแรมบอกว่า ห้องเต็มแล้ว ด้วยความเจ็บใจเขาจึงเอาถุงนอนมานอนโชว์ที่หน้าอนุสาวรีย์ของตัวเอง พร้อมเขียนข้อความเตือนสติผู้คนว่า อย่าได้หลงกับอำนาจยศศักดิ์ เพราะมันไม่ยั่งยืน เหมือนลมพัดมาแล้วก็พัดไป ดูตัวเขาเองที่มีคนยกย่องเมื่อครั้งเป็นดาราดังและเป็นถึงผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วใครจะคิด เขาต้องมานอนกลางถนน (ฮาไม่ออก)

ก่อนจากกันในร้านกาแฟวันนั้น ดร.สมัครได้ทิ้งคำคมอันสะดุดใจคำหนึ่งว่า “ตอนนี้ รู้สึกสงสารแต่ ‘ลุงตู่’ ที่มีความตั้งใจจริง ในการมุ่งมั่นอยากจะทำให้ปากท้องชาวบ้าน ‘หายหิว’ แต่น่าเสียดายที่ยังขาด ‘ขุนพล’ มือดี-มีกึ๋น มาช่วยสานต่อปณิธาน ทำให้ตัวเองต้องแบกรับปัญหาทั้งปวงมาใส่บนบ่าอยู่คนเดียว น่าสงสารไหมครับ คิดดู?”

ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้สติว่า..อย่าไปคิดมากให้หนักหัวกบาลเลยนะ..เพราะสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม นั่นเอง

ไพรัช วรปาณิ
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image